“Vintage Wine” ไวน์พรีเมียมที่สายดื่ม และนักสะสมตัวจริงต้องมี!
เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน
-
Vintage Wine คืออะไร? ทำไมถึงได้รับความนิยมจากนักดื่ม และนักสะสมทั่วโลก
-
วิธีการเสิร์ฟ การดื่ม การจับคู่อาหาร และการเก็บรักษา Vintage Wine
-
วิธีการเลือกซื้อ Vintage Wine ที่นักดื่ม และนักสะสมมือใหม่ควรรู้
“Vintage Wine” ไวน์พรีเมียมที่สายดื่ม และนักสะสมตัวจริงต้องมี!

“Vintage Wine” ถือว่าเป็นไวน์ที่นักดื่ม และนักสะสมไวน์ทั่วโลกต่างให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก ด้วยความที่เป็นเครื่องดื่มที่มีการเลือกใช้ผลผลิตองุ่นจากฤดูกาลการผลิตที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในช่วงปีที่สภาพอากาศเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตขององุ่น ทำให้ Vintage Wine ที่ได้จากการเก็บเกี่ยวในปีนั้นๆ มีรสชาติที่นุ่มลึก เข้มข้น ซับซ้อน และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ยากจะเลียนแบบ และยังมีความพิเศษของกระบวนการผลิต ที่ผ่านกระบวนการหมัก และการบ่มที่พิถีพิถัน ที่ช่วยให้รสชาติ และกลิ่นของ Vintage Wine มีความเข้มข้น และซับซ้อนมากยิ่งขึ้นด้วย และยิ่งเก็บไว้นานมากเท่าไหร่ ก็จะเผยรายละเอียดต่างๆ ออกมาให้นักดื่มได้สัมผัสกันได้อย่างเต็มที่มากขึ้น ดังนั้น ในบทความนี้ทาง Wine Cellar BKK จึงจะพานักดื่มมาทำความรู้จักกับ Vintage Wine ว่าคืออะไร ทำไมถึงได้รับความนิยมจากนักดื่ม และนักสะสมทั่วโลก โดยจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้นสามารถติดตามกันในบทความนี้ได้เลย!
1. Vintage Wine คืออะไร? ทำไมถึงได้รับความนิยมจากนักดื่ม และนักสะสมทั่วโลก
Vintage Wine หรือไวน์วินเทจ คือ ไวน์ที่มีการผลิตในปี หรือฤดูกาลที่สภาพภูมิอากาศเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตขององุ่นที่มีคุณภาพสูงสุด เพราะว่าผลผลิตนั้นสามารถส่งผลให้ไวน์มีรสชาติที่โดดเด่น และซับซ้อนมากกว่าไวน์ทั่วไป และช่วงเวลาเก็บเกี่ยวองุ่นในฤดูกาลที่ดีก็จะเรียกว่า "Vintage" หรือฤดูเก็บเกี่ยวที่ยอดเยี่ยม ซึ่งทำให้ไวน์ในปีนั้นๆ ได้รับการยอมรับเป็นพิเศษ และบ่งบอกถึงความเป็นไวน์ที่ผ่านการคัดเลือกเฉพาะจากฤดูกาลการผลิตที่ดีที่สุด และมักจะถูกบ่มเป็นเวลานาน เพื่อทำให้รายละเอียดต่างๆ ของ Vintage Wine มีความซับซ้อนมากขึ้น
โดย Vintage Wine นั้นได้รับความนิยมจากนักดื่ม และนักสะสมไวน์ทั่วโลกเป็นอย่างมาก เพราะว่าเป็นไวน์ที่สามารถสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของภูมิภาคที่ผลิตไวน์ได้เป็นอย่างดี ผลิตมาจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง และมีกระบวนการผลิตที่พิถีพิถัน ทำให้รสชาติที่ได้จาก Vintage Wine มักจะมีความนุ่มลึก เข้มข้น และซับซ้อนกว่าไวน์ทั่วไป ทำให้ผู้ที่ชื่นชอบไวน์สามารถดื่มด่ำกับรายละเอียดของรสชาติ และกลิ่นหอมได้มากขึ้น นอกจากนี้เหล่านักสะสมไวน์ก็มักมองหา Vintage Wine มาสะสมกันเป็นคอลเลกชั่น เพราะความหายาก และศักยภาพในการเก็บรักษาไวน์ ที่เก็บไว้ให้พัฒนารสชาติดียิ่งขึ้นตามกาลเวลา อีกทั้งยังสามารถเพิ่มมูลค่าได้ในตลาดสะสมไวน์ในอนาคตอีกด้วย2. ทำไม Vintage Wine ถึงมีความแตกต่างจากไวน์ทั่วไป?

ถ้าหากนักดื่มคนไหนที่สนใจอยากจะเข้าวงการ Vintage Wine แต่ยังสงสัยว่า Vintage Wine มีความแตกต่างจากไวน์ทั่วไปอย่างไรบ้าง ดังนั้น ในหัวข้อนี้ทาง Wine Cellar BKK จึงจะพานักดื่มมาดูกันว่าความแตกต่างระหว่าง Vintage Wine กับไวน์ทั่วไปที่ทำให้ Vintage Wine ได้รับความนิยมเป็นพิเศษมีอะไรบ้าง ดังนี้
-
สภาพภูมิอากาศที่ดีในฤดูเก็บเกี่ยว เพราะว่า Vintage Wine ผลิตมาจากผลผลิตที่ถูกเก็บเกี่ยวในฤดูกาลที่สภาพอากาศเหมาะสม ทำให้องุ่นที่เก็บเกี่ยวมีคุณภาพสูงกว่าปีที่มีสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย
-
การคัดเลือกองุ่นที่ดีที่สุด เพราะว่า Vintage Wine ผลิตจากองุ่นที่ได้รับการเก็บเกี่ยว และผ่านคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะองุ่นจากไร่ที่มีชื่อเสียงด้านคุณภาพ เช่น บอร์กโดซ์ และนาปาวัลเลย์ เป็นต้น
-
การบ่มที่ยาวนาน เพราะว่า Vintage Wine มักจะได้รับการบ่มในถังไม้โอ๊กเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ช่วยเพิ่มความซับซ้อน ความเข้มข้น และความนุ่มลึกของรสชาติมากยิ่งขึ้น
-
ความหายาก เพราะว่า Vintage Wine ผลิตจากผลผลิตในฤดูกาลการผลิตที่ดีเยี่ยม ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนั้นไม่ได้มีทุกปี จึงทำให้ปริมาณในการผลิตแต่ละวินเทจมีจำกัด ส่งผลให้ไวน์ Vintage Wine มีจำนวนจำกัด และหาซื้อยาก
-
ศักยภาพในการเก็บรักษา เพราะว่า Vintage Wine สามารถเก็บรักษาได้นานหลายปี และยังพัฒนารสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปด้วย
3. ประวัติความเป็นมา และแหล่งกำเนิดของ Vintage Wine

สำหรับประวัติความเป็นมาของ Vintage Wine นั้นเริ่มต้นจากการที่เกษตรกร และผู้ผลิตไวน์ในภูมิภาคที่มีชื่อเสียงด้านไวน์สังเกตว่าในบางปีที่สภาพอากาศเหมาะสม ทำให้การเจริญเติบโตขององุ่นจะดีเป็นพิเศษ และเมื่อนำผลผลิตเหล่านั้นมาผลิตไวน์ ก็ส่งผลให้ไวน์ที่ผลิตจากปีนั้นมีคุณภาพสูงเป็นพิเศษตามไปด้วย และปรากฏการณ์นี้ก็ได้เกิดขึ้นมานานหลายศตวรรษ ตั้งแต่ยุคโรมันที่เริ่มเพาะปลูกองุ่นอย่างจริงจังในยุโรป แต่ความนิยมของ Vintage Wine ในฐานะไวน์คุณภาพพิเศษเริ่มมีบทบาทสำคัญในช่วงศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะในภูมิภาคบอร์กโดซ์ (Bordeaux) ของประเทศฝรั่งเศส ที่เป็นแหล่งกำเนิดของแนวคิด "Vintage" หรือการเก็บเกี่ยวจากปีที่ดีเยี่ยมนั่นเอง
ด้วยจุดเริ่มต้นจากผู้ผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงได้มองเห็นถึงศักยภาพของไวน์ที่ได้จากปีที่สภาพอากาศสมบูรณ์ จึงทำให้พวกเขาเริ่มบันทึก และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพของไวน์จากแต่ละปี ทำให้ผู้บริโภค และนักสะสมหันมาสนใจไวน์จากฤดูกาลที่ดีเยี่ยมอย่างจริงจัง และในช่วงปีที่ถือว่า Vintage Wine ได้รับความนิยมสูงอย่างก้าวกระโดดนั้นเริ่มที่ประมาณช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 และประเทศฝรั่งเศสก็ได้เป็นประเทศแรกที่ได้รับการยอมรับในเรื่องของ Vintage Wine และทำให้การพัฒนาการผลิต Vintage Wine ได้กระจายไปยังภูมิภาคอื่นๆ ในยุโรป และต่อมาขยายไปยังแหล่งผลิตไวน์โลกใหม่ เช่น ออสเตรเลีย และอเมริกา และนับตั้งแต่นั้นมาก็มี Vintage Wine วางจำหน่ายให้นักดื่มได้เลือกซื้อ เลือกสะสมกันอย่างมากมายจนถึงในปัจจุบัน
4. กระบวนการผลิต และสายพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้ผลิต Vintage Wine
สำหรับกระบวนการผลิต Vintage Wine นั้นจะมีความพิถีพิถัน ละเอียด และใส่ใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่การเพาะปลูกองุ่น การเก็บเกี่ยวองุ่น การหมักบ่ม ไปจนถึงการบรรจุขวด ซึ่งในแต่ละขั้นตอนนั้นก็จะมีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
-
การเลือกพื้นที่ปลูกองุ่น (Vineyard Selection) เป็นขั้นตอนที่จะทำการเลือกพื้นที่ปลูกองุ่นที่เหมาะสมสำหรับการผลิต Vintage Wine และจะผ่านการเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน โดยพิจารณาจากสภาพภูมิอากาศ ดิน และระดับความสูง เพื่อให้ได้ผลผลิตองุ่นที่มีคุณภาพดีที่สุด ยกตัวอย่างเช่น เช่น Bordeaux ในประเทศฝรั่งเศส หรือ Napa Valley ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
-
การปลูกองุ่น (Vineyard Cultivation) เป็นขั้นตอนที่จะใช้เทคนิคการดูแลไร่องุ่นแบบเฉพาะเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีที่สุด เช่น การตัดแต่งกิ่ง (Pruning) และการควบคุมน้ำ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่สมบูรณ์ เป็นต้น และส่วนใหญ่จะมีระบบการปลูกที่เน้นการเกษตรแบบออร์แกนิก หรือแบบยั่งยืน เพื่อรักษาคุณภาพของดิน และผลผลิตขององุ่นให้ยั่งยืนในระยะยาว
-
การเก็บเกี่ยวองุ่น (Harvesting) เป็นขั้นตอนการเก็บเกี่ยวองุ่นที่ใช้สำหรับการผลิต Vintage Wine โดยจะเก็บเกี่ยวเมื่อผลผลิตมีความสุกสมบูรณ์ที่สุดเท่านั้น เพื่อให้มีรสชาติ และกลิ่นหอมเต็มที่ และการเก็บเกี่ยวจะต้องทำด้วยมือเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผลองุ่นได้รับความเสียหา
-
การบด และบีบองุ่น (Crushing and Pressing) เป็นขั้นตอนการผลิตที่องุ่นจะถูกบด และบีบอย่างนุ่มนวล เพื่อสกัดน้ำองุ่นออกมา และในกระบวนการนี้จะทำอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของอากาศที่อาจทำให้ไวน์เสียคุณภาพได้ โดยการบีบองุ่นที่ใช้ในการผลิตไวน์ขาวจะมีการแยกน้ำองุ่นออกจากเปลือกทันที ในขณะที่ไวน์แดงจะหมักรวมกับเปลือก เพื่อให้ได้สีสันที่สวยงาม และแทนนินที่เข้มข้น
-
การหมัก (Fermentation) เป็นขั้นตอนการผลิตที่น้ำองุ่นจะถูกหมักในถังไม้โอ๊ก หรือถังสแตนเลส โดยกระบวนการนี้จะทำให้ยีสต์ทำปฏิกิริยากับน้ำตาลในองุ่น และเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์ พร้อมกับปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และจะใช้ระยะเวลาการหมักประมาณ 1-3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับประเภทของไวน์
-
การบ่ม (Aging) เป็นขั้นตอนการผลิตที่จะถูกบ่มในถังไม้โอ๊ก เพื่อเพิ่มความซับซ้อนของรสชาติ และนอกจากนั้นการบ่มในถังไม้โอ๊กยังสามารถช่วยเพิ่มรสชาติ และกลิ่นของวานิลลา เครื่องเทศ และคาราเมลด้วย ซึ่งระยะเวลาการบ่มอาจใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึงหลายปี ขึ้นอยู่กับสไตล์ของไวน์ และความต้องการของผู้ผลิต
-
การผสม และการกลั่น (Blending and Clarification) เป็นขั้นตอนการผลิตที่บางครั้งไวน์จากถัง หรือปีเก็บเกี่ยวต่างกันจะถูกผสมเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างรสชาติ และโครงสร้างที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น พร้อมกับทำการกลั่น ที่จะช่วยทำให้ไวน์ใส ปราศจากตะกอน และมีความบริสุทธิ์มากขึ้น
-
การบรรจุขวด และการบ่มเพิ่มเติม (Bottling and Additional Aging) เป็นขั้นตอนที่จะทำเมื่อไวน์ผ่านการบ่มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะถูกนำมาบรรจุขวด และอาจมีการบ่มต่อในขวดเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้รสชาติพัฒนาได้อีก โดยเฉพาะ Vintage Wine ที่การเก็บบ่มในขวดจะทำให้ไวน์มีความนุ่มลึก และซับซ้อนมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
โดยในส่วนของสายพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้การผลิต Vintage Wine ที่จะต้องผ่านการเพาะปลูก และการเก็บเกี่ยวมาอย่างพิถีพิถันนั้นก็จะมีหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์นั้นก็จะมีรายละเอียด ดังนี้
-
Cabernet Sauvignon เป็นสายพันธุ์ที่พบได้บ่อยในการผลิตไวน์แดง Vintage Wine โดยเฉพาะจากภูมิภาค Bordeaux ที่จะให้ความหอมหวานของผลไม้สีดำเข้ม เช่น ลูกพลัม และแบล็กเคอร์แรนต์ และทำให้มีโครงสร้างแข็งแรง และแทนนินสูง ส่งผลให้ Vintage Wine เก็บได้นานมากขึ้น
-
Merlot เป็นสายพันธุ์ที่มักจะนิยมใช้ผลิต Vintage Wine ร่วมกับสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon เพื่อเพิ่มความนุ่มนวลให้กับไวน์แดง ที่จะให้ความหอมหวานของผลไม้สีแดง และดำ เช่น เชอร์รี่ พลัม และราสป์เบอร์รี่ และให้ความรู้สึกกลมกล่อม และมีรสสัมผัสที่นุ่มนวลกว่า
-
Pinot Noir เป็นสายพันธุ์ที่พบได้บ่อยในการผลิตไวน์แดง Vintage Wine จากภูมิภาค Burgundy ที่จะเน้นความซับซ้อน และความละเอียดอ่อน ที่จะให้ความหอมหวานของผลไม้สีแดง เช่น เชอร์รี และสตรอเบอร์รี แถมยังมีความเป็นกรดสูง และโครงสร้างที่เบาบาง
-
Chardonnay เป็นสายพันธุ์ที่นิยมใช้ในการผลิตไวน์ขาว Vintage Wine โดยเฉพาะจาก Burgundy และ Champagne ที่จะให้ความหอมหวานของผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล และลูกแพร์ พร้อมกับกลิ่นของเนย และวานิลลาจากการบ่มในถังไม้โอ๊ก
-
Sauvignon Blanc เป็นสายพันธุ์ที่นิยมใช้ในการผลิตไวน์ขาว Vintage Wine โดยเฉพาะจากภูมิภาค Bordeaux และ Napa Valley ที่จะให้ความหอมหวานของผลไม้ที่มีความสดชื่น เช่น ส้มโอ และแอปเปิ้ลเขียว มีความเป็นกรดสูง ให้ความรู้สึกสดชื่น และมีชีวิตชีวา
5. แหล่งผลิตไวน์ Vintage Wine ที่สำคัญมีที่ไหนบ้าง?

สำหรับแหล่งผลิต Vintage Wine ที่สำคัญส่วนใหญ่นั้นจะตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีชื่อเสียงในการผลิตไวน์ระดับโลก เพราะว่าในแต่ละพื้นที่จะมีสภาพภูมิอากาศ สภาพดิน และระบบน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ และเหมาะสมต่อการเพาะปลูกองุ่นที่ทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง โดยประเทศ และภูมิภาคที่เป็นแหล่งผลิต Vintage Wine ที่สำคัญ มีดังนี้
-
ประเทศฝรั่งเศส เป็นแหล่งผลิต Vintage Wine ที่สำคัญที่สุดในโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคบอร์กโดซ์ (Bordeaux) และเบอร์กันดี (Burgundy) โดยในบอร์กโดซ์นั้นจะเป็น Vintage Wine ที่เป็นไวน์แดงที่ผลิตมาจาก Cabernet Sauvignon และ Merlot ถือเป็นไวน์ชั้นเลิศที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก และในส่วนของเบอร์กันดีจะขึ้นชื่อเรื่องของ Vintage Wine ที่ผลิตมาจาก Pinot Noir และ Chardonnay ที่มีความละเอียดอ่อน ซับซ้อน และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
-
อิตาลี เป็นแหล่งผลิต Vintage Wine ที่สำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะในภูมิภาคทัสคานี (Tuscany) ที่เป็นแหล่งผลิต Vintage Wine ที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะ Vintage Wine จากองุ่นสายพันธุ์ Sangiovese เช่น ไวน์ Brunello di Montalcino และ Chianti Classico นอกจากนี้ก็ยังมี Vintage Wine จากภูมิภาค Piemonte เช่น Barolo และ Barbaresco ที่ถือเป็นว่าอีกหนึ่งไวน์ระดับโลก
-
สเปน เป็นแหล่งผลิต Vintage Wine ที่ส่วนใหญ่จะมาจากแคว้น Rioja และ Ribera del Duero ที่เป็นแหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญของสเปน โดยเฉพาะไวน์ที่ผลิตมาจากองุ่นสายพันธุ์ Tempranillo ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ให้รสชาติที่เข้มข้น และมีกลิ่นหอมของผลไม้อย่างชัดเจน
-
สหรัฐอเมริกา เป็นแหล่งผลิต Vintage Wine ที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันกับประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะแหล่งผลิตชื่อดังอย่าง Napa Valley ที่ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มี Vintage Wine ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมานับไม่ถ้วน โดยเฉพาะไวน์ที่ผลิตมาจากองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon ที่มีรสชาติที่นุ่มลึก ละเอียดอ่อน เข้มข้น และซับซ้อนไม่เหมือนใคร
-
ออสเตรเลีย เป็นแหล่งผลิต Vintage Wine ที่ส่วนใหญ่จะมาจากภูมิภาค Barossa Valley และ Margaret River ในออสเตรเลีย และเป็นพื้นที่ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการผลิต Vintage Wine เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะไวน์ที่ผลิตมาจากองุ่นสายพันธุ์ Shiraz และ Cabernet Sauvignon ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่แพ้กันกับ Vintage Wine ชื่อดังจากประเทศอื่นๆ
6. รสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นของ Vintage Wine เป็นแบบไหน?
สำหรับ Vintage Wine นั้นจะเป็นไวน์ที่มีความโดดเด่นในเรื่องรสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นที่มีความซับซ้อน และลึกมากกว่าไวน์ทั่วไป และเมื่อทำการเก็บรักษาไว้นาน ก็จะยิ่งทำให้สามารถพัฒนาคุณสมบัติเฉพาะตัวได้อย่างเต็มที่ ที่ทำให้ได้รสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นที่มีความพรีเมียมเฉพาะตัว ดังนี้
-
รสชาติ (Flavor) Vintage Wine มักจะมีรสชาติที่หลากหลาย และซับซ้อน ทั้งความหอมหวานจากผลไม้เข้มข้น เช่น เบอร์รีสีดำ ลูกพลัม และเชอร์รี่ และยังมีรสชาติจัดจ้านของเครื่องเทศ ความนุ่มละมุนของวานิลลา ช็อกโกแลต และคาราเมล ที่เกิดจากการบ่มในถังไม้โอ๊กด้วย
-
กลิ่น (Aroma) Vintage Wine มักจะมีกลิ่นที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนจากกลิ่นผลไม้สุก เช่น ลูกพลัม หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี ที่ผสมผสานเข้ากันกับกลิ่นของไม้โอ๊ก วานิลลา และกาแฟ ทั้งนี้ยังมีกลิ่นหอมของกลิ่นดิน โกโก้ หรือกลิ่นสมุนไพรที่เพิ่มความลึกให้กับไวน์ด้วย
-
รสสัมผัส (Body) Vintage Wine มักจะมีระดับ Body ที่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Full Body ที่มีเนื้อสัมผัสที่หนักแน่น และเต็มปากเต็มคำ และในบางวินเทจอาจมีความเข้มข้นสูง ทำให้ไวน์มีความนุ่มลึก และซับซ้อนมากขึ้นด้วย
-
แทนนิน (Tannin) Vintage Wine มักจะมีระดับแทนนินในไวน์สูงกว่าไวน์ทั่วไป โดยแทนนินนั้นจะทำให้ไวน์มีโครงสร้างที่ดี และทำให้ไวน์สามารถเก็บรักษาได้ยาวนาน และเมื่อเก็บรักษาไว้ก็มักจะทำให้ Vintage Wine มีแทนนินที่เนียนละเอียด และนุ่มนวลมากขึ้นตามระยะเวลา
7. วิธีการเสิร์ฟ การดื่ม การจับคู่อาหาร และการเก็บรักษา Vintage Wine

ถึงแม้ว่า Vintage Wine จะเป็นไวน์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติ รสสัม และกลิ่นที่มีความหรูหรา และพรีเมียมสมกับเป็นไวน์ที่เหล่านักดื่ม และนักสะสมตามหากันมาไว้ในคอลเลกชั่นของตัวเอง ที่ยิ่งเก็บไว้นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเผยความพรีเมียมมากเท่านั้น และไม่ว่าจะหยิบมาดื่มตอนไหนก็สัมผัสถึงรายละเอียดต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แต่ว่านักดื่มสามารถสัมผัสถึงความพรีเมียมของ Vintage Wine ได้อย่างดีเยี่ยมมากขึ้น ด้วยการให้ความสำคัญกับวิธีการเสิร์ฟ การดื่ม การจับคู่อาหาร และการเก็บรักษา ซึ่งในแต่ละวิธีนั้นก็จะมีรายละเอียดต่างๆ ที่นักดื่มสามารถทำตามได้ง่ายๆ ดังนี้
-
วิธีการเสิร์ฟ ควรทำการเปิดขวด และปล่อยให้ไวน์ได้หายใจก่อนดื่ม เพื่อช่วยให้ออกซิเจนสัมผัสกับไวน์ ที่จะช่วยเผยรสชาติ และกลิ่นได้ดีมากขึ้น โดย Vintage Wine ที่เป็นไวน์แดงนั้นควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิประมาณ 16-18 องศาเซลเซียส เพื่อให้รสชาติ และกลิ่นหอมเผยออกมาอย่างเต็มที่ และ Vintage Wine ที่เป็นไวน์ขาวควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิประมาณ 10-21 องศาเซลเซียส เพื่อคงความสดชื่นไว้เป็นอย่างดี
-
วิธีการดื่ม ควรทำการดื่มด้วยการจิบทีละเล็กน้อย เพื่อสัมผัสถึงรสชาติ และกลิ่นหอมของ Vintage Wine ได้อย่างเต็มที่ และควรทำการพักไว้ภายในปากสักพัก เพื่อให้ไวน์ได้สัมผัสทั่วทั้งปาก ที่จะช่วยให้รับรู้ถึงความซับซ้อนของรสชาติได้ดีมากยิ่งขึ้น
-
วิธีการจับคู่อาหาร สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ Vintage Wine ที่เป็นไวน์แดงควรจับคู่กับอาหารที่มีรสชาติเข้มข้น หรือมีส่วนประกอบหลักเป็นเนื้อแดง เช่น เสต็ก ซี่โครงแกะย่าง หรือบาร์บีคิว เป็นต้น และ Vintage Wine ที่เป็นไวน์ขาวควรจับคู่กับอาหารที่มีรสชาติเบา เช่น สลัดผัก หรือมีส่วนประกอบหลักเป็นอาหารทะเล เช่น กุ้ง หอยนางรม หรือเนื้อปลา เป็นต้น
-
วิธีการเก็บรักษา ควรทำการเก็บรักษาไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิคงที่ มืด เย็น ไม่มีการสั่นสะเทือน และมีอุณหภูมิประมาณ 12-15 องศาเซลเซียส พร้อมกับวางขวดไวน์ไว้ในแนวนอน เพื่อให้จุกไม้ก๊อกสัมผัสกับไวน์ ป้องกันไม่ให้จุกไม้ก๊อกแห้ง เพื่อช่วยรักษาคุณภาพของไวน์ และป้องกันไม่ให้อากาศเข้า ที่อาจทำให้ไวน์เกิดการเสื่อมสภาพได้
8. วิธีการเลือกซื้อ Vintage Wine ที่นักดื่ม และนักสะสมมือใหม่ควรรู้
สำหรับนักดื่มคนไหนที่สนใจอยากจะเลือกดื่ม Vintage Wine แต่ว่าเลือกไม่ถูกว่าควรเลือกซื้ออย่างไรดี ดังนั้น ในหัวข้อนี้ทาง Wine Cellar BKK จึงจะมาแชร์เทคนิคการเลือกซื้อ Vintage Wine แบบง่ายๆ ที่นักดื่ม และนักสะสมมือใหม่สามารถทำตามได้แน่นอน โดยวิธีการเลือกซื้อที่ควรรู้ไว้ มีดังนี้
-
เลือกจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ (Reputable Wine Regions) เป็นวิธีการเลือกซื้อ Vintage Wine ที่ดูจากแหล่งผลิตไวน์ที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น บอร์กโดซ์ เบอร์กันดี ทัสคานี หรือ Napa Valley ที่ล้วนแต่เป็นที่รู้จัก และมีชื่อเสียงในเรื่องการผลิต Vintage Wine คุณภาพสูง ดังนั้น สิ่งแรกในการเลือก Vintage Wine ควรเริ่มจากการเลือกไวน์ที่ผลิตในพื้นที่เหล่านี้
-
เช็คปีที่เก็บเกี่ยว (Vintage Year) เป็นวิธีการเลือกซื้อ Vintage Wine จากปีที่เก็บเกี่ยวองุ่น โดยจะมีระบุอยู่บนฉลากไวน์ ด้วยการเลือกปีที่มีสภาพอากาศดี และเหมาะสมต่อการปลูกองุ่น เพราะว่าสามารถส่งผลให้ไวน์มีคุณภาพดี และที่สำคัญ คือ ควรศึกษา และเลือกปีที่ไวน์มีคุณภาพสูง เช่น ปีที่ได้รับการยอมรับจากนักวิจารณ์ไวน์ เพราะจะช่วยการันตีได้ถึงความพรีเมียมของ Vintage Wine
-
เลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียง (Renowned Winemakers) เป็นวิธีการเลือกซื้อ Vintage Wine ที่ควรเลือกจากผู้ผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียง เพราะถือว่าเป็นการรับประกันคุณภาพของไวน์ในระดับหนึ่ง และควรเลือกซื้อจากแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับ และมีประวัติการผลิต Premium Vintage อย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถบ่งบอกได้ว่า Vintage Wine มีคุณภาพที่ดีอย่างแน่นอน
-
อ่านรีวิว และคะแนนไวน์ (Wine Ratings and Reviews) เป็นวิธีการเลือกซื้อ Vintage Wine ที่นักดื่ม หรือนักสะสมควรดูรีวิวจากนักวิจารณ์ไวน์ และคะแนนจากสื่อไวน์ชั้นนำ เพราะว่าสามารถช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรเลือกซื้อไวน์ขวดไหน ปีไหน หรือรุ่นไหน ดังนั้น จึงควรศึกษาคะแนน และคำวิจารณ์ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
-
พิจารณาการเก็บรักษา (Storage Potential) เป็นวิธีการเลือกซื้อ Vintage Wine ที่ควรเลือกซื้อจากการเก็บรักษา เพราะว่า Vintage Wine บางขวดมีศักยภาพในการเก็บรักษาได้นาน ดังนั้น ถ้าหากนักดื่ม หรือนักสะสมที่อยากเก็บไว้นาน ก็ควรเลือกไวน์ที่สามารถบ่มต่อได้ ที่จะช่วยให้ไวน์พัฒนารสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
-
งบประมาณ (Budget) เป็นวิธีการเลือกซื้อ Vintage Wine ที่เลือกซื้องบประมาณ โดยนักดื่ม หรือนักสะสมควรตั้งงบประมาณในการซื้อไวน์ไว้ก่อน เพราะ Vintage Wine เป็นไวน์ที่มีความพรีเมียม และค่อนข้างหายาก จึงทำให้มักจะมีราคาสูง ดังนั้น จึงควรเลือกซื้อ Vintage Wine ที่อยู่ในช่วงราคาที่อยู่ภายในงบประมาณที่ตั้งไว้