แนะนำ 9 ไร่องุ่นจากทั่วโลกที่ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพ และประวัติศาสตร์การผลิตไวน์ที่ยาวนาน
เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน
แนะนำ 9 ไร่องุ่นจากทั่วโลกที่ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพ และประวัติศาสตร์การผลิตไวน์ที่ยาวนาน

ไร่องุ่น (Vineyard) เป็นพื้นที่เพาะปลูกองุ่นที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการผลิตไวน์ โดยองุ่นที่ปลูกในไร่องุ่นเหล่านี้จะเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไวน์ ด้วยการผ่านการเพาะปลูกในสภาพแวดล้อมที่สามารถส่งผลต่อผลผลิตได้โดยตรง ทั้งสภาพดินฟ้าอากาศ ความชื้น อุณหภูมิ รวมถึงลักษณะทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่นั้นๆ ล้วนมีผลต่อการเจริญเติบโตขององุ่นแต่ละสายพันธุ์ และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพของไวน์ที่ผลิตออกมา
โดยไร่องุ่นที่มีคุณภาพสูงจะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศ และดินที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกองุ่นมากที่สุด เช่น ดินที่มีแร่ธาตุพอเหมาะ สภาพอากาศดี และมีระบบการระบายน้ำที่ดี หรือพื้นที่ที่มีสภาพอากาศอบอุ่นในเวลากลางวัน และเย็นในเวลากลางคืน เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ก็จะส่งผลให้ผลองุ่นมีความสุกพอดี และเมื่อนำมาผลิตไวน์ก็จะให้รสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และไร่องุ่นที่มีประวัติการผลิตที่ยาวนาน ก็มักจะมีความเชี่ยวชาญในการเลือกสายพันธุ์องุ่นที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และใช้วิธีการปลูกองุ่น และผลิตไวน์ที่สืบทอดกันมาเป็นเวลาหลายรุ่น ทำให้ความสำเร็จของไร่องุ่นแต่ละแห่งนั้นไม่เพียงแต่อยู่ที่การปลูกองุ่นที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเลือกใช้วิธีการผลิตไวน์ที่เหมาะสม ที่ทำให้ไวน์ที่ได้มีเอกลักษณ์ และมีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร
ดังนั้น ในบทความนี้ทาง Wine Cellar BKK ก็จะพานักดื่มทุกคนมาทำความรู้จักกับ 9 ไร่องุ่นจากทั่วโลกที่ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพ และประวัติศาสตร์การผลิตไวน์ที่ยาวนาน โดยแต่ละแห่งนั้นจะมีที่ตั้งอยู่ที่ประเทศอะไร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหน และนิยมใช้สายพันธุ์องุ่นอะไรบ้าง สามารถติดตามกันได้เลย!1. บอร์กโดซ์ (Bordeaux)

บอร์กโดซ์ (Bordeaux) เป็นภูมิภาคที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส และเมืองบอร์กโดซ์ก็เป็นศูนย์กลางของพื้นที่นั้นด้วย โดยบอร์กโดซ์เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในไร่องุ่น และแหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญที่สุดในโลก เนื่องจากมีสภาพภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกองุ่น และผลิตไวน์ ซึ่งทำให้ไวน์จากภูมิภาคนี้มีคุณภาพสูง และเป็นที่ต้องการของนักดื่มจากทั่วโลก ด้วยจุดเด่นของไวน์บอร์กโดซ์ที่มีการผสมผสานระหว่างสายพันธุ์องุ่นที่หลากหลาย ที่ช่วยสร้างไวน์ที่มีรสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นที่มีความซับซ้อน เข้มข้น และกลมกล่อม แถมยังได้รับการยกย่องในระดับสากล และได้รับรางวัลมากมาย เช่น Bordeaux Wine Official Classification of 1855 ซึ่งเป็นการจัดอันดับไวน์ที่ทรงเกียรติ และมีชื่อเสียงระดับโลก ส่งผลให้ไร่องุ่น และไวน์บอร์กโดซ์เป็นสัญลักษณ์ของคุณภาพ และความเป็นเลิศในวงการไวน์เบอร์หนึ่งของโลก
1.1 ประวัติความเป็นมา
ประวัติความเป็นมาของไวน์บอร์กโดซ์เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยโรมันที่มีการปลูกองุ่นในภูมิภาคนี้เป็นครั้งแรกประมาณศตวรรษที่ 1 ต่อมาในศตวรรษที่ 12 ไร่องุ่นของภูมิภาคนี้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าไวน์ในยุโรป เมื่อเอลีนอร์แห่งอากีแตนสมรสกับพระเจ้าเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษ ทำให้การส่งออกไวน์จากบอร์กโดซ์ไปยังอังกฤษเพิ่มมากขึ้น ทำให้ไวน์บอร์กโดซ์มีการพัฒนา และขยายตัวเรื่อยมา และด้วยคุณภาพของไวน์บอร์กโดซ์ที่เป็นที่ขึ้นชื่อ จึงได้รับการจัดอันดับอย่างเป็นทางการในปี 1855 ภายใต้คำสั่งของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ซึ่งเป็นการจัดอันดับไวน์บอร์กโดซ์ที่ดีที่สุดของภูมิภาค และทำให้การจัดอันดับไวน์นี้ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากในวงการไวน์จนถึงปัจจุบัน
1.2 ลักษณะทางภูมิศาสตร์
ภูมิภาคบอร์กโดซ์ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำการอนน์ (Garonne) ที่เป็นพื้นที่ไร่องุ่นที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ ด้วยสภาพดินในภูมิภาคนี้ที่ประกอบไปด้วยดินหลากหลายชนิด เช่น ดินหินปูน ดินทราย และดินกรวด ทำให้เหมาะสำหรับการปลูกองุ่นหลากหลายสายพันธุ์ นอกจากนี้พื้นที่ของบอร์กโดซ์ยังมีสภาพอากาศที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเพาะปลูกองุ่น ด้วยฤดูร้อนที่อบอุ่น และฤดูหนาวที่ไม่หนาวเกินไป จึงทำให้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเก็บเกี่ยวองุ่นมักจะเป็นช่วงปลายฤดูร้อน และต้นฤดูใบไม้ร่วง เนื่องจากสภาพอากาศที่อบอุ่น และแห้งเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตขององุ่น และการพัฒนารสชาติของไวน์มากที่สุด
1.3 สายพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้
สำหรับไวน์บอร์กโดซ์นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในการใช้สายพันธุ์องุ่นที่หลากหลาย โดยเฉพาะสายพันธุ์องุ่นแดง เช่น Cabernet Sauvignon, Merlot, Cabernet Franc, Petit Verdot และ Malbec ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ใช้ในการผลิตไวน์บอร์กโดซ์แดง ส่วนไวน์บอร์กโดซ์ขาวมักจะใช้สายพันธุ์องุ่น เช่น Sauvignon Blanc, Sémillon, และ Muscadelle ซึ่งองุ่นแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป เช่น Cabernet Sauvignon ให้รสชาติที่เข้มข้น และมีกลิ่นหอมของผลไม้สีแดง และสายพันธุ์ Merlot ให้รสชาติที่นุ่มนวล และกลมกล่อม หรือ Sauvignon Blanc ที่ใช้ในการผลิตไวน์ขาวก็จะให้รสชาติที่มีความสดชื่น และมีกลิ่นของผลไม้เขตร้อนอย่างชัดเจน เป็นต้น
2. เบอร์กันดี (Burgundy)
เบอร์กันดี (Burgundy) เป็นภูมิภาคที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส และเป็นไร่องุ่น และแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกไม่แพ้กันกับบอร์กโดซ์ โดยเฉพาะไวน์แดงจากสายพันธุ์ Pinot Noir และไวน์ขาวจาก Chardonnay ด้วยจุดเด่นของไวน์จากเบอร์กันดีที่มีความซับซ้อน และมีรสชาติที่สะท้อนเอกลักษณ์ของดิน และภูมิอากาศในแต่ละพื้นที่เล็กๆ ที่เรียกว่า "terroir" ได้เป็นอย่างดี และสิ่งนี้ก็ได้ทำให้ไวน์จากเบอร์กันดีมีความหลากหลาย และมีเอกลักษณ์ในแต่ละแปลงดินอย่างชัดเจน ทำให้ไวน์เบอร์กันดีได้รับความนิยมจากนักดื่มไวน์ทั่วโลก และได้รับการยอมรับจากการจัดอันดับ และรางวัลระดับสากล เช่น การได้รับสถานะ AOC (Appellation d'Origine Contrôlée) ที่ช่วยการันตีคุณภาพของไวน์ในภูมิภาคเบอร์กันดี
2.1 ประวัติความเป็นมา
การผลิตไวน์ในเบอร์กันดีมีประวัติความเป็นมายาวนานนับพันปี เริ่มจากชาวโรมันที่เข้ามาปลูกองุ่นในพื้นที่ไร่องุ่นนี้ในศตวรรษที่ 1 ในยุคกลาง และคริสตจักรคาทอลิกมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาไร่องุ่นในเบอร์กันดี โดยพระสงฆ์จากคณะซิสเตอร์เชียน และเบเนดิกตินได้สร้างไร่องุ่น และผลิตไวน์ เพื่อใช้ในพิธีทางศาสนา จึงทำให้พื้นที่นี้ได้รับการยกย่องในด้านคุณภาพของไวน์มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 โดยดยุคแห่งเบอร์กันดี และในปัจจุบันไวน์เบอร์กันดีก็ยังคงรักษาประวัติศาสตร์ และคุณภาพที่เป็นเลิศของไวน์มาได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
2.2 ลักษณะทางภูมิศาสตร์
เบอร์กันดีนั้นเป็นภูมิภาคที่มีภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาเล็กๆ และมีสภาพดินที่หลากหลาย ซึ่งประกอบไปด้วยดินหินปูน และดินเหนียว โดยสภาพดินไร่องุ่นแห่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไวน์จากเบอร์กันดีมีรสชาติที่ซับซ้อน และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มาพร้อมกับสภาพอากาศของเบอร์กันดีเป็นแบบอุ่นหนาวสลับกัน มีฤดูร้อนที่อบอุ่น และฤดูหนาวที่หนาวเย็น และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิก็จะช่วยให้องุ่นสุกช้า และพัฒนารสชาติที่เข้มข้นได้ดีมากขึ้น และช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเก็บเกี่ยวองุ่น คือ ในฤดูใบไม้ร่วงเมื่ออากาศเย็น และแห้ง ทำให้ได้ผลผลิตองุ่นที่ได้นั้นมีคุณภาพสูง และเมื่อผลิตไวน์ออกมาก็จะได้ไวน์ที่มีคุณภาพสูงตามไปด้วย
2.3 สายพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้
เบอร์กันดีเป็นไร่องุ่นที่ขึ้นชื่อในเรื่องการผลิตไวน์จากองุ่นเพียงไม่กี่สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่โดดเด่นที่สุด คือ สายพันธุ์ Pinot Noir ที่เป็นองุ่นแดงที่ใช้ในการผลิตไวน์เบอร์กันดีแดง ทำให้มีรสชาติที่ซับซ้อน และมีกลิ่นหอมของผลไม้สีแดงอย่างชัดเจน เช่น เชอร์รี และราสป์เบอร์รี และสำหรับสายพันธุ์ Chardonnay ก็เป็นสายพันธุ์ที่ใช้ในการผลิตไวน์ขาว ทำให้มีรสชาติที่มีความสดชื่น และมีกลิ่นหอมของผลไม้ และดอกไม้ชัดเจน ทำให้ไวน์ทั้งสองชนิดนี้สามารถสะท้อนเอกลักษณ์ของดิน และภูมิอากาศในแต่ละแหล่งเพาะปลูกอย่างชัดเจน
3. มาร์โกซ์ (Margaux)
มาร์โกซ์ (Margaux) เป็นพื้นที่ไร่องุ่นที่ตั้งอยู่ในเขตการผลิตไวน์ของบอร์กโดซ์ในประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะในบริเวณทางใต้ของพื้นที่เมด็อก โดยมาร์โกซ์นั้นถือว่าเป็นอีกหนึ่งในแหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญที่สุดของโลก ด้วยไวน์จากมาร์โกซ์ที่มีจุดเด่นที่มีความนุ่มนวล และมีกลิ่นหอมของดอกไม้ และผลไม้อย่างชัดเจน ทำให้ไวน์จากที่นี่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก นอกจากนั้นไวน์มาร์โกซ์ยังได้รับการยอมรับในระดับสากลโดยการจัดอันดับชั้น Premier Grand Cru Classé ในการจัดอันดับไวน์ของบอร์กโดซ์ปี 1855 ที่การันตีได้ถึงคุณภาพ และมาตรฐานในทุกกระบวนการผลิต
3.1 ประวัติความเป็นมา
มาร์โกซ์เป็นไร่องุ่น และแหล่งผลิตไวน์ที่มีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่ โดยเริ่มต้นการผลิตไวน์ตั้งแต่สมัยโรมัน แต่ว่าได้รับความนิยมมากขึ้นในศตวรรษที่ 12 เมื่อภูมิภาคบอร์กโดซ์กลายเป็นศูนย์กลางการค้าไวน์กับอังกฤษ จึงทำให้ชื่อเสียงของไวน์มาร์โกซ์เติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 18 เมื่อขุนนาง และชนชั้นสูงของฝรั่งเศสนิยมดื่มไวน์จากที่นี่ และส่งผลให้ไวน์มาร์โกซ์ได้รับการจัดอันดับเป็น Premier Grand Cru Classé ในการจัดอันดับปี 1855 ซึ่งเป็นการรับรองคุณภาพ และชื่อเสียงของไวน์ในระดับโลก
3.2 ลักษณะทางภูมิศาสตร์
ภูมิภาคมาร์โกซ์ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เป็นเนินสูงใกล้แม่น้ำ ทำให้ดินมีการระบายน้ำที่ดี โดยสภาพดินในไร่องุ่นมาร์โกซ์เป็นดินกรวด และดินทรายผสมกัน ซึ่งช่วยให้องุ่นสามารถเจริญเติบโตได้ดี และสภาพอากาศของมาร์โกซ์นั้นจะเป็นแบบมหาสมุทร ซึ่งมีฤดูร้อนที่อบอุ่น และฤดูหนาวที่ไม่หนาวเกินไป ทำให้เหมาะสมกับการเพาะปลูกองุ่น และมีช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเก็บเกี่ยวองุ่น คือ ช่วงปลายฤดูร้อน และต้นฤดูใบไม้ร่วง ที่ทำให้ได้ผลผลิตที่เมื่อนำมาผลิตไวน์แล้วจะมีเอกลักษณ์ของมาร์โกซ์อย่างชัดเจน
3.3 สายพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้
สำหรับไวน์มาร์โกซ์นั้นมักจะผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักในการผลิตไวน์แดงที่มีรสชาติซับซ้อน และมีกลิ่นของผลไม้สีแดงอย่างชัดเจน และสายพันธุ์อื่นๆ ที่นิยมใช้เช่นกัน คือ สายพันธุ์ Merlot ซึ่งให้รสชาติที่นุ่มนวล และเพิ่มความสมดุลให้กับไวน์ นอกจากนี้ยังมีการใช้สายพันธุ์ Petit Verdot และ Cabernet Franc ในการผลิตไวน์บางส่วนด้วย ทำให้ไวน์จากมาร์โกซ์มีรสชาติที่หอมหวานของผลไม้ และดอกไม้ พร้อมด้วยโครงสร้างที่ละเอียดอ่อนกว่าไวน์จากภูมิภาคอื่นๆ
4. นาปาวัลเลย์ (Napa Valley)
นาปาวัลเลย์ (Napa Valley) เป็นภูมิภาคผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และนาปาวัลเลย์ก็เป็นที่รู้จักจากการผลิตไวน์คุณภาพสูง และเป็นที่นิยมทั่วโลก โดยเฉพาะไวน์ Cabernet Sauvignon ที่มีความโดดเด่น นอกจากนี้นาปาวัลเลย์ยังเป็นที่ตั้งของไร่องุ่น และโรงผลิตไวน์ที่ได้รับรางวัลมากมายในระดับนานาชาติ เช่น Paris Wine Tasting of 1976 ซึ่งทำให้นาปาวัลเลย์ได้รับการยอมรับในวงการไวน์โลกอย่างเต็มตัว
4.1 ประวัติความเป็นมา
นาปาวัลเลย์เป็นไร่องุ่น และผลิตไวน์ที่เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยชาวยุโรปที่อพยพมาจากฝรั่งเศส และสเปน ทำให้การผลิตไวน์ในนาปาวัลเลย์มีการพัฒนาต่อเนื่อง และเติบโตอย่างมากหลังจาก Paris Wine Tasting of 1976 ที่ทำให้ไวน์จากนาปาวัลเลย์ได้รับชัยชนะเหนือไวน์จากฝรั่งเศส และเป็นจุดเริ่มต้นของความโด่งดังของภูมิภาคนี้ในวงการไวน์ระดับโลก และได้รับความนิยมจากนักดื่มทั่วโลกจนถึงในปัจจุบัน
4.2 ลักษณะทางภูมิศาสตร์
นาปาวัลเลย์เป็นไร่องุ่นที่มีสภาพดินที่หลากหลาย ตั้งแต่ดินภูเขาไฟไปจนถึงดินกรวด และดินเหนียว ซึ่งทำให้เหมาะสมต่อการปลูกองุ่นหลายสายพันธุ์ และสภาพอากาศของนาปาวัลเลย์นั้นก็จะเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่มีทั้งฤดูร้อนที่ร้อนอบอุ่น และฤดูหนาวที่เย็นสบาย และมีช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการเก็บเกี่ยวองุ่น คือ ต้นฤดูใบไม้ร่วง เมื่ออากาศเย็น และแห้ง ที่ทำให้ผลองุ่นมีความสุกกำลังพอดี และเหมาะกับการผลิตไวน์เป็นอย่างมาก
4.3 สายพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้
สำหรับสายพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้ในการผลิตไวน์ของพื้นที่ไร่องุ่นนาปาวัลเลย์ คือ Cabernet Sauvignon ที่เป็นสายพันธุ์หลักที่ใช้ในการผลิตไวน์แดง นอกจากนี้ยังมีการใช้สายพันธุ์ Merlot, Chardonnay, และ Zinfandel ซึ่งเป็นองุ่นที่ผลิตไวน์ขาว และไวน์แดงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงทำให้ไวน์จากนาปาวัลเลย์มักจะมีรสชาติที่เข้มข้น และมีกลิ่นหอมของผลไม้ เช่น แบล็กเบอร์รี่ และวานิลลาอย่างชัดเจน
5. ทัสคานี (Tuscany)
ทัสคานี (Tuscany) เป็นภูมิภาคผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงของอิตาลี และตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศ โดยทัสคานีเป็นที่รู้จักในฐานะบ้านเกิดของไวน์ระดับโลกอย่าง Chianti และไวน์ Super Tuscans ซึ่งทั้งสองประเภทนี้สะท้อนถึงความสมบูรณ์ของดิน และภูมิอากาศในภูมิภาคนี้ได้เป็นอย่างดี และทัสคานีก็เป็นไร่องุ่น และแหล่งผลิตที่มีการผลิตไวน์มาหลายศตวรรษ และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดมาตรฐานไวน์อิตาลีเป็นอย่างมาก แถมยังได้รับสถานะ DOC และ DOCG ที่ช่วยการันตีคุณภาพ และแหล่งผลิตที่ชัดเจนอีกด้วย
5.1 ประวัติความเป็นมา
ทัสคานีเป็นพื้นที่ที่มีประวัติการผลิตไวน์ตั้งแต่ยุคโรมันโบราณ และต่อเนื่องมาจนถึงยุคกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคเรเนซองส์ที่มีการพัฒนาวัฒนธรรมไวน์ขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะไวน์ Chianti ซึ่งเป็นหนึ่งในไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดของภูมิภาคทัสคานี และได้รับการพัฒนาในศตวรรษที่ 13 และกลายเป็นสัญลักษณ์ของไวน์ทัสคานี นอกจากไวน์ Chianti แล้ว ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ก็ยังมีไวน์ Super Tuscans ที่ได้รับความนิยมระดับโลก เพราะว่าไวน์ Super Tuscans ใช้เทคนิคการผลิตที่แตกต่างจากไวน์อิตาลีทั่วไป ซึ่งทำให้ไวน์นี้มีรสชาติ และเอกลักษณ์ที่แตกต่างกว่าไวน์อิตาลีทั่วไป
5.2 ลักษณะทางภูมิศาสตร์
ทัสคานีเป็นพื้นที่ไร่องุ่นที่ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูง และมีภูมิประเทศที่หลากหลาย โดยสภาพดินในทัสคานีเป็นดินภูเขาไฟ และดินเหนียว ซึ่งมีความสมบูรณ์ในการปลูกองุ่น และอากาศในภูมิภาคนี้เป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่มีทั้งฤดูร้อนที่อบอุ่น และแห้งแล้ง ซึ่งเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตขององุ่น และด้วยสภาพอากาศที่หลากหลาย และดินที่เป็นเอกลักษณ์ จึงทำให้ไวน์จากทัสคานีมีความซับซ้อน และหลากหลายตามพื้นที่เพาะปลูก
5.3 สายพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้
สำหรับไวน์ทัสคานีนั้นก็มีชื่อเสียงในด้านการใช้สายพันธุ์องุ่น Sangiovese โดยเป็นใช้องุ่นแดงเป็นหลักในการผลิตไวน์ Chianti และไวน์ Super Tuscans ซึ่งไวน์จาก Sangiovese มักจะมีรสชาติของผลไม้ตระกูลเบอร์รีอย่างชัดเจน เช่น เชอร์รี และแบล็กเบอร์รี มาพพร้อมกับโครงสร้างที่แข็งแรง และความเป็นกรดสูง นอกจากนี้ยังมีการใช้สายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และ Merlot ในการผลิตไวน์ Super Tuscans ที่ให้รสชาติที่มีความเข้มข้น ละมุน และซับซ้อนด้วย
6. ริโอจา (Rioja)
ริโอจา (Rioja) เป็นภูมิภาคที่มีการผลิตไวน์ และไร่องุ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศสเปน โดยตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ และริโอจาก็ยังได้รับการยอมรับในระดับสากลจากการผลิตไวน์แดงที่มีคุณภาพสูงด้วย โดยเฉพาะไวน์จากองุ่นสายพันธุ์ Tempranillo ซึ่งเป็นองุ่นที่ใช้เป็นหลักในการผลิตไวน์ที่นี่ และทำให้ไวน์จากริโอจามีความสมดุลระหว่างรสชาติของผลไม้ และการใช้โอ๊กในการบ่มที่ทำให้ไวน์มีรสชาติที่นุ่มนวล และซับซ้อนอีกด้วย
6.1 ประวัติความเป็นมา
ภูมิภาคริโอจาเป็นพื้นที่ที่มีการผลิตไวน์มานานหลายศตวรรษตั้งแต่ยุคโรมัน โดยได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงศตวรรษที่ 19 เมื่อมีการนำเทคนิคการบ่มไวน์ในถังโอ๊กแบบฝรั่งเศสมาใช้ และการพัฒนาเหล่านี้ทำให้ไวน์ริโอจามีชื่อเสียงขึ้นในระดับสากล และในปี 1925 ริโอจาก็ได้กลายเป็นภูมิภาคแรกในสเปนที่ได้รับสถานะ DOCa (Denominación de Origen Calificada) ซึ่งเป็นการรับรองคุณภาพ และมาตรฐานของไวน์ที่เข้มงวด
6.2 ลักษณะทางภูมิศาสตร์
ภูมิภาคริโอจาเป็นพื้นที่ไร่องุ่นที่มีภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่หุบเขาแม่น้ำเอโบรไปจนถึงเนินเขาสูง โดยสภาพดินในริโอจาประกอบไปด้วยดินหินปูน ดินเหนียว และดินทราย ซึ่งช่วยให้องุ่นเจริญเติบโตได้ดี และสภาพอากาศในริโอจาเป็นแบบกึ่งเมดิเตอร์เรเนียน ที่มีฤดูร้อนที่ร้อน และแห้ง แต่ในพื้นที่สูงจะมีอากาศเย็นในช่วงเวลากลางคืน ทำให้ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเก็บเกี่ยวองุ่น คือ ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงเมื่อองุ่นสุกเต็มที่
6.3 สายพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้
สำหรับสายพันธุ์องุ่นหลักที่ใช้ในการผลิตไวน์ในริโอจา คือ Tempranillo ซึ่งเป็นองุ่นแดงที่มีรสชาติของผลไม้สีแดง เช่น เชอร์รี และราสป์เบอร์รี ที่มาพร้อมกับกลิ่นของเครื่องเทศที่ซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีการใช้สายพันธุ์ Garnacha และ Graciano ในการผสมไวน์ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของรสชาติ และส่วนใหญ่ไวน์จากริโอจามักจะถูกบ่มในถังโอ๊กเป็นระยะเวลานาน ทำให้ไวน์มีรสชาติที่นุ่มนวล และมีกลิ่นหอมของวานิลลา และเครื่องเทศอย่างชัดเจน
7. มาร์ลโบโรห์ (Marlborough)
มาร์ลโบโรห์ (Marlborough) เป็นพื้นที่ผลิตไวน์ และไร่องุ่นที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะใต้ในประเทศนิวซีแลนด์ และเป็นภูมิภาคผลิตไวน์ที่ใหญ่ และมีชื่อเสียงที่สุดในนิวซีแลนด์ โดยมาร์ลโบโรห์เป็นที่รู้จักจากการผลิตไวน์ขาวคุณภาพสูง โดยเฉพาะไวน์ Sauvignon Blanc ที่มีเอกลักษณ์ของกลิ่นหอมสดชื่น และรสชาติเปรี้ยวสดใส ทำให้ไวน์ขาวจากมาร์ลโบโรห์ได้รับความนิยมในระดับโลก
7.1 ประวัติความเป็นมา
มาร์ลโบโรห์เป็นแหล่งผลิตไวน์ที่เริ่มต้นการผลิตไวน์ในช่วงทศวรรษที่ 1970 โดยบริษัทไวน์ที่มีวิสัยทัศน์จากต่างประเทศที่ได้เล็งเห็นศักยภาพของภูมิภาคนี้ จึงทำให้ไวน์ขาวที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Sauvignon Blanc จากไร่องุ่นมาร์ลโบโรห์ได้กลายเป็นที่รู้จักในระดับโลกในช่วงทศวรรษที่ 1980 ด้วยรสชาติที่สดชื่น และกลิ่นหอมที่โดดเด่น และส่งผลให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตไวน์ของนิวซีแลนด์ และเป็นที่ต้องการของตลาดโลก
7.2 ลักษณะทางภูมิศาสตร์
มาร์ลโบโรห์มีพื้นที่ไร่องุ่นที่มีภูมิประเทศที่เป็นหุบเขา และเนินเขาที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำหลายสาย โดยสภาพดินในมาร์ลโบโรห์ประกอบไปด้วยดินกรวด และดินเหนียว ซึ่งช่วยในการระบายน้ำ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการปลูกองุ่น และสภาพอากาศของมาร์ลโบโรห์ก็จะเป็นแบบมหาสมุทรที่มีฤดูร้อนที่อบอุ่น และมีอากาศเย็นสบายในเวลากลางคืน ทำให้ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวองุ่น คือ ช่วงปลายฤดูร้อน และต้นฤดูใบไม้ร่วง ที่เป็นช่วงที่องุ่นมีความสุกเต็มที่
7.3 สายพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้
สำหรับสายพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้มากที่สุด คือ สายพันธุ์ Sauvignon Blanc ที่เป็นสายพันธุ์องุ่นที่โดดเด่นที่สุดในไร่องุ่นมาร์ลโบโรห์ และไวน์ที่ผลิตจาก Sauvignon Blanc มักมีรสชาติสดชื่น และกลิ่นหอมของผลไม้ เช่น มะนาว ลูแพร์ แอปเปิ้ล และเสาวรส นอกจากนี้มาร์ลโบโรห์ยังมีการผลิตไวน์จากสายพันธุ์ Pinot Noir ซึ่งเป็นองุ่นแดงที่ให้ไวน์ที่มีรสชาติของผลไม้สีแดงอย่างชัดเจน และมีความหอมหวาน นุ่มนวล และเข้มข้นไม่แพ้กับไวน์แดงจากประเทศอื่นๆ
8. บารอสซาวัลเลย์ (Barossa Valley)
8. บารอสซาวัลเลย์ (Barossa Valley)
บารอสซาวัลเลย์ (Barossa Valley) เป็นหนึ่งในภูมิภาคผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของออสเตรเลีย ที่ตั้งอยู่ในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย ห่างจากเมืองแอดิเลดประมาณ 60 กิโลเมตร โดยบารอสซาวัลเลย์เป็นที่รู้จักจากการผลิตไวน์แดงคุณภาพสูง โดยเฉพาะไวน์ Shiraz ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล ด้วยรสชาติที่เข้มข้น นุ่มลึก และซับซ้อนไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ยังมีการผลิตไวน์จากสายพันธุ์อื่นๆ เช่น Cabernet Sauvignon และ Grenache ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สะท้อนถึงบารอสซาวัลเลย์ได้เป็นอย่างดี
8.1 ประวัติความเป็นมา
บารอสซาวัลเลย์เป็นไร่องุ่น และแหล่งผลิตไวน์ที่เริ่มต้นการผลิตไวน์ในช่วงปี 1840 โดยผู้อพยพจากเยอรมนี และอังกฤษที่เห็นศักยภาพของพื้นที่ในด้านการเกษตรของบารอสซาวัลเลย์ จึงทำให้วัฒนธรรมการผลิตไวน์ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และขยายตัวขึ้นในศตวรรษที่ 20 และในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 บารอสซาวัลเลย์ก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตไวน์ Shiraz ที่มีชื่อเสียงระดับโลก และได้รับการยกย่องในเรื่องคุณภาพ และความหลากหลายของรสชาติไวน์ และส่งผลให้ในปัจจุบันบารอสซาวัลเลย์เป็นที่รู้จักในฐานะภูมิภาคผลิตไวน์ที่มีอิทธิพลสำคัญต่ออุตสาหกรรมไวน์ออสเตรเลีย
8.2 ลักษณะทางภูมิศาสตร์
บารอสซาวัลเลย์เป็นพื้นที่ไร่องุ่นที่ตั้งอยู่ในหุบเขาที่มีภูมิประเทศเป็นเนินเขา และหุบเหวเล็กน้อย ทำให้สภาพดินในบารอสซาวัลเลย์มีทั้งดินแดง ดินทราย และดินเหนียว ซึ่งเหมาะสำหรับการปลูกองุ่นแดง โดยเฉพาะ Shiraz และสภาพอากาศในบารอสซาวัลเลย์ก็ยังเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่มีฤดูร้อนที่ร้อน และแห้ง และฤดูหนาวที่อบอุ่น ทำให้องุ่นสุกเต็มที่ และให้รสชาติที่เข้มข้น ซับซ้อน และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร
8.3 สายพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้
ไวน์บารอสซาวัลเลย์เป็นที่รู้จักจากการใช้สายพันธุ์องุ่น Shiraz ซึ่งเป็นองุ่นแดงที่ให้รสชาติของผลไม้สีดำ เช่น แบล็กเบอร์รี และลูกพลัม มาพร้อมกับกลิ่นหอมของเครื่องเทศ และช็อกโกแลต นอกจากนี้ยังมีการผลิตไวน์จากสายพันธุ์ Cabernet Sauvignon ที่มีรสชาติที่หนักแน่น และ Grenache ที่มีความเป็นผลไม้สูง รวมถึงไวน์ขาวจากสายพันธุ์ Semillon และ Riesling ที่ให้รสชาติสดชื่น และกลิ่นหอมเฉพาะตัวด้วย
9. เมนโดซา (Mendoza)
เมนโดซา (Mendoza) เป็นภูมิภาคผลิตไวน์ที่ใหญ่ที่สุด และมีชื่อเสียงที่สุดของอาร์เจนตินา และตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศใกล้กับเทือกเขาแอนดีส โดยเมนโดซาเป็นไร่องุ่นที่รู้จักจากการผลิตไวน์ Malbec ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของไวน์อาร์เจนตินา ด้วยรสชาติที่เข้มข้น และซับซ้อน นอกจากนี้ภูมิภาคนี้ยังมีการผลิตไวน์จากสายพันธุ์อื่นๆ เช่น Cabernet Sauvignon และ Syrah ด้วย จึงทำให้เมนโดซาเป็นศูนย์กลางการผลิตไวน์ของทวีปอเมริกาใต้ และมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมไวน์ระดับโลก
9.1 ประวัติความเป็นมา
ภูมิภาคเมนโดซาเป็นไร่องุ่น และแหล่งผลิตไวน์ที่เริ่มต้นการผลิตไวน์ในศตวรรษที่ 16 โดยนักบวชชาวสเปนที่นำองุ่นมาปลูก เพื่อนำมาใช้ในพิธีทางศาสนา และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ไวน์เมนโดซาได้รับความนิยมในประเทศ และขยายตัวอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 19 และเมื่อมีการนำเทคนิคการปลูกองุ่นจากยุโรปมาใช้ก็ทำให้ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เมนโดซากลายเป็นศูนย์กลางการผลิตไวน์ระดับพรีเมียมของอาร์เจนตินา โดยเฉพาะไวน์ Malbec ที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก และในปัจจุบันนั้นพื้นที่เมนโดซาก็ยังเป็นหนึ่งในภูมิภาคผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในซีกโลกใต้
9.2 ลักษณะทางภูมิศาสตร์
เมนโดซาเป็นพื้นที่ไร่องุ่นที่มีภูมิประเทศที่ล้อมรอบด้วยเทือกเขาแอนดีส ทำให้ภูมิภาคนี้มีการไหลของน้ำจากหิมะที่ละลายบนภูเขามาช่วยในการชลประทาน ทำให้ดินในเมนโดซาประกอบด้วยดินกรวด และดินทราย ซึ่งช่วยในการระบายน้ำ และส่งเสริมการเจริญเติบโตขององุ่นได้ดี และสภาพอากาศในเมนโดซาก็ยังเป็นแบบกึ่งแห้งแล้ง ทำให้มีฤดูร้อนที่ร้อน และแห้ง และอากาศเย็นในช่วงเวลากลางคืน ที่จะช่วยชะลอการสุกขององุ่น ทำให้ได้ไวน์ที่มีความเข้มข้น และซับซ้อนมากขึ้น
9.3 สายพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้
สำหรับสายพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้นั้นจะเป็นสายพันธุ์ Malbec ที่เป็นสายพันธุ์องุ่นหลักที่ใช้ในการผลิตไวน์ในไร่องุ่นเมนโดซา จึงทำให้ไวน์เมนโดซามีรสชาติของผลไม้สีเข้มอย่างชัดเจน เช่น ลูกพลัม และแบล็กเบอร์รี พร้อมด้วยโครงสร้างที่แข็งแรง และมีเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่ม นอกจากนี้ยังมีการใช้สายพันธุ์ Cabernet Sauvignon และ Syrah ที่เพิ่มความซับซ้อนให้กับไวน์แดง รวมถึงยังมีการผลิตไวน์ขาวจากสายพันธุ์ Torrontés ที่มีเอกลักษณ์ของกลิ่นหอมของดอกไม้ และมีความสดชื่นที่เป็นเอกลักษณ์
10. ดูบทความอื่นๆ จาก Wine Cellar BKK คลิก > ที่นี่