Couldn't load pickup availability
- Free standard shipping on orders over 10,000 THB
You may return most new, unopened items within 30 days of delivery for a full refund. We'll also pay the return shipping costs if the return is a result of our error (you received an incorrect or defective item, etc.).
You should expect to receive your refund within four weeks of giving your package to the return shipper, however, in many cases you will receive a refund more quickly. This time period includes the transit time for us to receive your return from the shipper (5 to 10 business days), the time it takes us to process your return once we receive it (3 to 5 business days), and the time it takes your bank to process our refund request (5 to 10 business days).
If you need to return an item, simply login to your account, view the order using the "Complete Orders" link under the My Account menu and click the Return Item(s) button. We'll notify you via e-mail of your refund once we've received and processed the returned item.
ถ้าหากพูดถึงไวน์ระดับตำนานจากสหรัฐอเมริกา ชื่อของ “Duckhorn” คือ หนึ่งในแบรนด์ที่ถูกกล่าวถึงจากเหล่านักดื่มไวน์แดงบ่อยที่สุด และถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่ทำให้ไวน์จาก Napa Valley ก้าวเข้าสู่วงการไวน์ระดับสากลได้อย่างแท้จริง ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 40 ปี ที่ทำให้ Duckhorn ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา และคุณภาพ แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างไวน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
สิ่งที่ทำให้ Duckhorn แตกต่างจากไวน์แดงทั่วไป คือ การเลือกใช้พันธุ์องุ่น Merlot มาเป็นวัตถุดิบหลักในช่วงเวลาที่ผู้ผลิตส่วนใหญ่ยังคงยึดติดกับการใช้ Cabernet Sauvignon และการตัดสินใจครั้งนี้นับเป็นความกล้าหาญที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของ Merlot ที่นิยมนำมาผลิตไวน์รอง ให้กลายเป็นไวน์ที่มีตัวตนชัดเจน และได้รับความนิยมจากทั่วโลกอย่างรวดเร็ว อีกทั้งการผลิต Duckhorn ยังให้ความสำคัญกับการคัดสรรพื้นที่ปลูกองุ่นใน Napa Valley อย่างพิถีพิถัน เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละไร่ในรสชาติไวน์อีกด้วย
นอกจากเรื่องราวความสำเร็จในแง่ของรสชาติแล้ว Duckhorn ยังเป็นแบรนด์ที่สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมในการผลิตไวน์ที่ไม่หยุดนิ่ง ด้วยการขยายสายการผลิตไปสู่พันธุ์องุ่น และสไตล์ไวน์หลากหลายมากขึ้น แต่ยังคงรักษามาตรฐานคุณภาพระดับพรีเมียมเอาไว้อย่างมั่นคง และด้วยเหตุนี้ Duckhorn จึงไม่ใช่แค่ไวน์จากอเมริกา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนา ความกล้า และความภาคภูมิใจของ Napa Valley ที่สามารถครองใจนักดื่มไวน์ทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ในบทความนี้ทาง Wine Cellar BKK ก็จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Duckhorn ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีรสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นแบบไหน ทำไมถึงเป็นที่นิยมของเหล่านักดื่มมาอย่างยาวนาน พร้อมแชร์เทคนิคในการดื่มแบบง่ายๆ ที่ช่วยให้สัมผัสถึงกลิ่นอายของไวน์โลกใหม่ได้อย่างเต็มที่ โดยจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง สามารถติดตามกันได้เลย
“Duckhorn Vineyards” ถือกำเนิดขึ้นในปี 1976 โดยคู่สามีภรรยา Dan และ Margaret Duckhorn ผู้มีวิสัยทัศน์อันชัดเจนว่าต้องการสร้างไวน์ชั้นเลิศจาก Napa Valley ให้เป็นที่ยอมรับในวงการไวน์ระดับโลก ซึ่งพวกเขาเริ่มต้นจากความเชื่อมั่นว่า Napa Valley มีศักยภาพไม่แพ้แหล่งไวน์ชื่อดังในยุโรป และต้องการสร้างแบรนด์ที่สะท้อนเอกลักษณ์ท้องถิ่นอย่างแท้จริง
โดยจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ Duckhorn แตกต่างตั้งแต่แรกเริ่ม คือ การให้ความสำคัญกับองุ่นสายพันธุ์ Merlot และในปี 1978 Duckhorn ก็ได้เปิดตัวไวน์ Merlot รุ่นแรกออกสู่ตลาด ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นเรื่องใหม่ และค่อนข้างเสี่ยง เพราะผู้ผลิตส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญกับองุ่นสายพันธุ์ Merlot แต่ Dan Duckhorn มองเห็นคุณค่าขององุ่นพันธุ์นี้ และเชื่อว่ามันสามารถสะท้อนรสชาติที่กลมกล่อม และหรูหราได้ไม่แพ้ Cabernet Sauvignon และผลลัพธ์ คือ Merlot จาก Duckhorn ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม และกลายเป็นไวน์เรือธงของแบรนด์
ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษ Duckhorn ได้ขยายพื้นที่ปลูกองุ่น และพัฒนาการผลิตไวน์ในสไตล์ต่างๆ ทั้ง Cabernet Sauvignon, Sauvignon Blanc และ Pinot Noir โดยยังคงยึดมั่นในมาตรฐานคุณภาพอันเข้มงวด อีกทั้งพวกเขามีการคัดเลือกแปลงองุ่นที่ดีที่สุดใน Napa Valley, Sonoma Valley และ North Coast เพื่อสร้างไวน์ที่สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละภูมิภาคด้วย และอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2005 เมื่อ Duckhorn ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Wine Spectator โดยจัดให้ Duckhorn Merlot เป็นหนึ่งในไวน์ที่ดีที่สุดแห่งปี ส่งผลให้ชื่อเสียงของแบรนด์ถูกยกระดับขึ้นอีกขั้น และยืนยันถึงคุณภาพในระดับโลก
และในปัจจุบัน Duckhorn ไม่ได้หยุดเพียงแค่ไวน์ Napa Valley เท่านั้น แต่ยังสร้างเครือข่ายแบรนด์ในเครือ เช่น Decoy, Goldeneye และ Paraduxx เพื่อรองรับผู้ดื่มในหลายกลุ่ม แต่ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด Duckhorn ยังคงยืนหยัดในจุดยืนเดิม นั่นคือการสร้างไวน์ที่สะท้อนความงดงามของ Napa Valley และคุณค่าของความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ดังนั้น เมื่อพูดถึง Duckhorn จึงไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ไวน์ แต่หมายถึงเรื่องราวแห่งความเชื่อมั่น ความกล้าหาญ และการสร้างตำนานที่ยังคงส่องประกายอยู่ในโลกไวน์จนถึงปัจจุบัน
สำหรับ Duckhorn นั้นเป็นไวน์แดงที่มีกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันตั้งแต่การเพาะปลูกองุ่นไปจนถึงขั้นตอนการบรรจุขวด ที่ในแต่ละขั้นตอนนั้นจะมีความเข้มงวด และพิถีพิถันเป็นอย่างมาก ซึ่งในแต่ละขั้นตอนในกระบวนการผลิต Duckhorn นั้นมีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
การเพาะปลูก และคัดเลือกองุ่น สำหรับ Duckhorn นั้นผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Merlot เป็นหลัก โดยเลือกใช้เฉพาะองุ่นที่ปลูกในแหล่งที่ดีที่สุดของ Napa Valley เช่น Howell Mountain, Rutherford, Oakville และ Stags Leap District และองุ่นที่ใช้มักมาจากไร่องุ่นที่ Duckhorn เป็นเจ้าของเอง เช่น Three Palms Vineyard หรือจากไร่องุ่นพันธมิตรที่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และในการเก็บเกี่ยวนั้นจะใช้วิธี Hand Harvesting หรือการเก็บเกี่ยวด้วยมือเท่านั้น เพื่อเลือกเฉพาะผลองุ่นที่สมบูรณ์ที่สุด และมีความสุกเต็มที่เท่านั้น
การคัดแยก และการบดองุ่น หลังจากทำการเก็บเกี่ยวแล้ว องุ่นที่ได้มานั้นจะถูกส่งเข้าสู่โรงบ่มไวน์ในทันที เพื่อรักษาคุณภาพ และความสดใหม่ และมีการคัดแยกองุ่นทั้งแบบมือ และเครื่องจักรอีกครั้ง เพื่อกำจัดลูกที่มีตำหนิ หรือไม่ได้คุณภาพ และองุ่นที่ผ่านการคัดเลือกแล้วจะถูกส่งเข้าสู่เครื่องบด เพื่อแยกเปลือกออก และเตรียมเข้าสู่กระบวนการหมักในขั้นตอนถัดไป
กระบวนการหมัก สำหรับ Duckhorn นั้นจะใช้ถังสแตนเลสขนาดใหญ่ และถังไม้โอ๊คแบบเปิดในการหมัก เพื่อให้เกิดการพัฒนาโครงสร้าง และกลิ่นที่ซับซ้อน และจะใช้ยีสต์ธรรมชาติ รวมถึงช่วงเวลาในการหมักนั้นอุณหภูมิจะถูกควบคุมระหว่าง 24-30 องศาเซลเซียส เพื่อให้ได้รสชาติที่สมดุล และแยกแทนนินออกมาอย่างเหมาะสม พร้อมกับใช้เทคนิค Punch Down และ Pump Over เพื่อให้เปลือกองุ่นสัมผัสกับน้ำองุ่นมากขึ้น ซึ่งช่วยดึงแทนนิน และสีออกมาอย่างเต็มที่ และหลังจากหมักแอลกอฮอล์เสร็จสิ้น ไวน์จะผ่านกระบวนการ Malolactic Fermentation เพื่อช่วยให้ไวน์มีรสสัมผัสที่นุ่มนวลขึ้น
การบ่มในถังไม้โอ๊ค สำหรับ Duckhorn นั้นจะถูกบ่มในถังไม้โอ๊คฝรั่งเศสประมาณ 18-24 เดือน และถังไม้โอ๊คที่ใช้เป็นทั้งแบบใหม่ และแบบใช้แล้ว โดยจะใช้ถังใหม่ประมาณ 40-50% เพื่อเพิ่มกลิ่นรสของวานิลลา คาราเมล และเครื่องเทศ และในระหว่างการบ่มจะมีการ Racking หรือถ่ายเทไวน์ออกจากกากตะกอนเป็นระยะๆ เพื่อให้ไวน์สะอาด และมีโครงสร้างที่ชัดเจน
การเบลนด์ไวน์ สำหรับการเบลนด์นั้นจะใช้องุ่นสายพันธุ์ Merlot เป็นหลัก และอาจผสมพันธุ์องุ่นอื่นๆ เช่น Cabernet Sauvignon, Petit Verdot, Malbec หรือ Cabernet Franc เพื่อเพิ่มความสมดุล และความซับซ้อน และไวน์เมกเกอร์จะเลือกไวน์จากถังที่ดีที่สุดมาผสมกันก่อนการบรรจุขวด
การบรรจุขวด และการบ่มในขวด เมื่อการบ่มในถังไม้โอ๊คเสร็จสิ้น ไวน์จะถูกบรรจุลงขวด โดยผ่านการกรองที่พิถีพิถัน เพื่อคงโครงสร้าง และรสชาติที่ดีที่สุด และจะถูกบ่มในขวด 6-12 เดือนก่อนจำหน่าย เพื่อให้ไวน์มีความกลมกล่อมมากขึ้น แล้วจึงค่อยนำส่งต่อให้นักดื่มทั่วโลก
สำหรับรสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นของ Duckhorn นั้นจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะเอกลักษณ์ขององุ่นสายพันธุ์ Merlot รวมถึงสามารถสะท้อนถึงกลิ่นอายของ terrior ได้อย่างชัดเจน ทำให้เวลาดื่มนั้นนักดื่มสามารถสัมผัสได้ถึงรสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นที่มีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
รสชาติ (Flavor) สำหรับรสชาติของ Duckhorn นั้นมีความหอมหวานของผลไม้สีเข้มอย่างชัดเจน เช่น แบล็กเคอร์แรนท์ แบล็กเชอร์รี บลูเบอร์รี และพลัมสุก ตามมาด้วยความหอมของเครื่องเทศ เช่น วานิลลา ดาร์กช็อกโกแลต กานพลู อบเชย และถั่วคั่ว ปิดท้ายด้วยความเข้มข้นของไม้โอ๊ค หนังสัตว์ และยาสูบ ที่เข้ากันได้อย่างลงตัว และทำให้รสชาติมีความกลมกล่อมมากขึ้น
รสสัมผัส (Mouthfeel) สำหรับรสสัมผัสของ Duckhorn นั้นจะเป็นแบบ Full Body มีความเข้มข้นของแทนนินสูง และมี Acidity หรือความเป็นกรดปานกลาง ทำให้เวลาดื่มนั้นจะสัมผัสได้ถึงความหนักแน่น และเข้มข้น แต่ยังคงมีความละเอียด และนุ่มนวล ที่ทำให้ดื่มง่ายมากยิ่งขึ้น
กลิ่น (Aroma) สำหรับกลิ่นของ Duckhorn นั้นจะมีความหอมหวานของผลไม้สีเข้มอย่างชัดเจน เช่น แบล็กเคอร์แรนท์ แบล็กเชอร์รี บลูเบอร์รี และมัลเบอร์รี ตามมาด้วยความโอ๊คกี้ เช่น วานิลลา คาราเมล อบเชย มอคค่า และถั่วคั่ว และปิดท้ายด้วยกลิ่นหอมจากการบ่ม เช่น ยาสูบ หนังสัตว์ ซีดาร์ และเครื่องเทศแห้ง เป็นต้น และถ้าหากเก็บบ่มไว้ก็จะมีโน้ตของดิน เห็ดป่า และทรัฟเฟิลเพิ่มเข้ามาด้วย
ด้วยองค์ประกอบของรสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นของ Duckhorn ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร และสะท้อนถึงกลิ่นอายของไวน์แดงจากอเมริกาได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ Duckhorn เป็นอีกหนึ่งไวน์แดงที่เป็นที่นิยมของนักดื่มไวน์แดงทั่วโลก ดังนั้น ถ้าหากนักดื่มคนไหนอยากจะสัมผัสถึงความพรีเมียม และเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Duckhorn ในราคาสบายกระเป๋า ก็สามารถแวะมาหาซื้อได้ที่ Wine Celler BKK ที่มี Duckhorn พร้อมส่งทันที ไม่ต้องรอพรีออเดอร์ ของแท้ 100% ราคาดีที่สุด จัดส่งไวให้ถึงหน้าบ้าน สั่งซื้อได้ที่ Line Official : @winecellar24 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับนักดื่มที่อยากลิ้มลองถึงความพรีเมียมของ Duckhorn ได้อย่างเต็มที่ ควรให้ความสำคัญถึงวิธีการเสิร์ฟ การดื่ม การจับคู่อาหาร และการเก็บรักษา เพราะว่าวิธีเหล่านี้สามารถส่งผลต่อรสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นของ Duckhorn ได้โดยตรง ซึ่งในแต่ละวิธีนั้นก็จะมีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
วิธีการเสิร์ฟ ควรทำการเสิร์ฟ Duckhorn ในอุณหภูมิที่เหมาะสมประมาณ 16-18 องศาเซลเซียส และควรทำการดีแคนท์ไวน์ด้วยการเทลงดีแคนเตอร์ก่อนเสิร์ฟประมาณ 30-60 นาที เพื่อปล่อยให้ไวน์สัมผัสกับอากาศ และทำให้ออกซิเจนทำปฏิกิริยากับไวน์ได้ดี ที่ช่วยให้ไวน์มีความนุ่มนวลขึ้น พร้อมกับเลือกใช้แก้วไวน์ที่มีทรงกว้าง เช่น แก้วไวน์บอร์กโดซ์ เพื่อช่วยให้ไวน์ได้เผยกลิ่นออกมาอย่างเต็มที่
วิธีการดื่ม ควรทำการดื่ม Duckhorn ที่เริ่มจากการหมุนแก้วไวน์เบาๆ เพื่อให้ไวน์สัมผัสกับอากาศ หลังจากนั้นให้ทำการสูดดมกลิ่น เพื่อสัมผัสถึงกลิ่นต่างๆ ได้ชัดเจน และทำการจิบอย่างช้าๆ ทีละเล็กน้อย พร้อมกับกลั้วไวน์ในปากเบาๆ แล้วจึงค่อยทำการกลืน เพื่อสัมผัสถึงรายละเอียดต่างๆ ที่จะทิ้งไว้ภายในปากอย่างยาวนาน
วิธีการจับคู่อาหาร ควรทำการจับคู่ Duckhorn กับอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ เช่น สเต็กเนื้อวากิว สเต็กริบอาย หรือฟิเลมิยอง รวมถึงเนื้อแกะย่าง ซี่โครงแกะย่าง ซี่โครงหมู หรือซี่โครงวัวอบซอสบาร์บีคิว หรือจะเป็นเมนูอาหารอิตาเลียน เช่น พาสต้าเนื้อรากู หรือลาซานญ่า เป็นต้น รวมถึงเมนูที่มีส่วนประกอบของชีส เช่น เชดดาร์ชีส กรุยแยร์ชีส พาร์เมซานชีส หรือบลูชีส ก็สามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี
วิธีการเก็บรักษา ควรทำการเก็บรักษา Duckhorn ไว้ในอุณหภูมิที่คงที่ประมาณ 12-15 องศาเซลเซียส เก็บในที่มืด และมีความชื้นเหมาะสม หลีกเลี่ยงการเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงบ่อย หรือสัมผัสแสงแดดโดยตรง พร้อมกับวางขวดไว้ในแนวนอน เพื่อให้จุกคอร์กไม่แห้ง ป้องกันการรั่วซึมของอากาศ และช่วยรักษาคุณภาพของไวน์ และถ้าหากเปิดขวดแล้ว ควรเก็บด้วยจุกสุญญากาศ เก็บในตู้เย็น และควรดื่มให้หมดภายใน 3-5 วัน
สำหรับนักดื่มที่กำลังอยากจะซื้อ DUCKHORN ก็สามารถแวะมาหาซื้อได้ที่ Wine Cellar BKK แหล่งนำเข้า และแหล่งจำหน่ายเครื่องดื่มนำเข้าจากต่างประเทศ ที่มีบริการแอดมินให้คำแนะนำสินค้าอย่างมืออาชีพ อยากได้ไวน์ที่มีรสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นแบบไหน หรืออยากได้เครื่องดื่มประเภทอื่นๆ อยากได้ยี่ห้อไหนเป็นพิเศษ มีงบประมาณเท่าไหร่ ซื้อดื่มเอง หรือซื้อเป็นของขวัญ ก็สามารถแจ้งแอดมินได้ เพื่อให้แอดมินแนะนำเครื่องดื่มที่ตอบโจทย์กับความต้องการของนักดื่มมากที่สุด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้เลยที่
Website : www.winecellarbkk.com หรือ คลิก ที่นี่
โดยที่ Wine Cellar BKK มีเครื่องดื่มให้นักดื่มได้เลือกสรรกันหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไวน์แดง ไวน์ขาว แชมเปญ สปาร์คกลิ้งไวน์ คอนญัก วิสกี้ หรือเครื่องดื่มนำเข้าจากต่างประเทศ ที่มีให้เลือกซื้อกันอย่างครบครัน การันตีสินค้าทุกขวดเป็นของแท้ 100% ผ่านการคัดสรรเครื่องดื่มทุกขวดด้วยความใส่ใจ เพื่อให้ได้เครื่องดื่มที่มีคุณภาพ และมาตรฐาน และการันตีว่าจำหน่ายในราคาดีที่สุดในตลาด เพื่อจำหน่ายเครื่องดื่มพรีเมียมในราคาสบายกระเป๋า และให้นักดื่มเข้าถึงเครื่องดื่มขวดโปรดได้ในราคาย่อมเยา มาพร้อมกับบริการจัดส่งสินค้าให้ถึงหน้าบ้าน ที่มีให้นักดื่มได้เลือกใช้ทั้งบริการจัดส่งสินค้าด่วนภายในกทม. ที่ใช้เวลาในการจัดส่งประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง และบริการจัดส่งสินค้าทั่วประเทศ ที่ใช้เวลาในการจัดส่งประมาณ 1-2 วัน สามารถสั่งซื้อเครื่องดื่มกับ Wine Cellar BKK ได้ง่ายๆ ทุกที่ ทุกเวลา แพ็คสินค้าทุกออเดอร์เป็นอย่างดี มีการรับประกันสินค้าระหว่างการจัดส่ง หากสินค้าได้รับความเสียหาย แตก หัก หรืออยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ที่เกิดจากการจัดส่ง ทางร้านยินดีเปลี่ยนเครื่องดื่มเป็นขวดใหม่ให้ทันที แบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อสร้างความประทับใจในการเลือกซื้อไวน์กับเราตลอดการบริการ
Thanks for subscribing!
This email has been registered!