Couldn't load pickup availability
- Free standard shipping on orders over 10,000 THB
You may return most new, unopened items within 30 days of delivery for a full refund. We'll also pay the return shipping costs if the return is a result of our error (you received an incorrect or defective item, etc.).
You should expect to receive your refund within four weeks of giving your package to the return shipper, however, in many cases you will receive a refund more quickly. This time period includes the transit time for us to receive your return from the shipper (5 to 10 business days), the time it takes us to process your return once we receive it (3 to 5 business days), and the time it takes your bank to process our refund request (5 to 10 business days).
If you need to return an item, simply login to your account, view the order using the "Complete Orders" link under the My Account menu and click the Return Item(s) button. We'll notify you via e-mail of your refund once we've received and processed the returned item.
เมื่อพูดถึงสก็อตช์วิสกี้ที่อยู่คู่กับโลกมานาน และครองใจนักดื่มทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ก็ต้องเป็น “JOHNNIE WALKER Black Label” ที่เป็นหนึ่งในอันดับต้นๆ ของสก็อตช์วิสกี้ที่นักดื่มคนไหนได้สัมผัสก็ต้องหลงรัก ด้วยประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ปีค.ศ. 1909 จนถึงปัจจุบัน ทำให้วิสกี้รุ่นนี้กลายเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เปี่ยมด้วยความหมายที่มากกว่าแค่เรื่องรสชาติ แต่เป็นการสะท้อนถึงความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการผลิต การผสมผสานศิลปะของการเบลนด์รสชาติ และการรักษามาตรฐานระดับโลกที่ยากจะหาใครเทียบ
โดย JOHNNIE WALKER Black Label ไม่ใช่แค่วิสกี้ แต่เป็นตัวแทนของความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดจากแบรนด์ระดับตำนาน “JOHNNIE WALKER” ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์วิสกี้อันดับหนึ่งของโลก ความนิยมของ Black Label นั้นครอบคลุมทั้งตลาดเอเชีย ยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง ด้วยกลิ่น และรสชาติที่กลมกล่อมลงตัว เข้าถึงง่ายแต่ยังคงความลึกซึ้งซับซ้อนไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นเหตุผลให้ทั้งนักดื่มหน้าใหม่ และนักดื่มระดับเซียนต่างก็ยกให้ Black Label เป็นหนึ่งในวิสกี้ประจำใจที่ควรมีติดบ้าน
ด้วยความหรูหราในราคาที่เอื้อมถึง พร้อมกับภาพลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นมืออาชีพ และคลาสสิก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ JOHNNIE WALKER Black Label จะยังคงครองตำแหน่งสก็อตช์วิสกี้ No.1 ในใจของใครหลายคนมานานกว่าศตวรรษ และยังคงเดินหน้าสร้างตำนานบทใหม่อย่างมั่นคงภายใต้คำขวัญที่เป็นเอกลักษณ์ “Keep Walking” ดังนั้น ในบทความนี้ทาง Wine Cellar BKK ก็จะพานักดื่มทุกคนมาทำความรู้จักกับ JOHNNIE WALKER Black Label กันมากขึ้นว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีรสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นแบบไหน พร้อมแนะนำเทคนิคในการดื่มแบบง่ายๆ โดยจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง สามารถติดตามกันได้เลย
JOHNNIE WALKER Black Label ถือกำเนิดขึ้นในปีค.ศ. 1909 จากแนวคิดของ Alexander Walker ลูกชายของ John Walker ผู้ก่อตั้งแบรนด์ JOHNNIE WALKER โดยวิสกี้รุ่นนี้ได้รับการพัฒนามาจากสูตรต้นตำรับที่สืบทอดกันมาในครอบครัววอล์คเกอร์ ภายใต้ปรัชญาที่เน้นคุณภาพ ความสม่ำเสมอ และรสชาติที่เข้าถึงได้ง่าย ทำให้วิสกี้ Black Label ได้กลายเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของศิลปะการเบลนด์ที่ถูกดูแลอย่างพิถีพิถันโดย Master Blender มืออาชีพระดับโลก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้ JOHNNIE WALKER ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์สก็อตช์วิสกี้อันดับต้นๆ ของโลก
โดย JOHNNIE WALKER Black Label ผลิตโดย Diageo บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่จากสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ JOHNNIE WALKER และยังเป็นผู้นำในการควบรวมกลุ่มโรงกลั่นวิสกี้ชั้นนำจากทั่วสก็อตแลนด์ และจุดเด่นของ Black Label อยู่ที่การผสมผสานวิสกี้จากกว่า 40 โรงกลั่นที่คัดสรรมาอย่างดี โดยเฉพาะวิสกี้ที่มีอายุอย่างน้อย 12 ปีขึ้นไป ผ่านกระบวนการเบลนด์ที่ใช้ทั้งวิสกี้แบบมอลต์ (Malt Whisky) และเกรนวิสกี้ (Grain Whisky) เพื่อให้ได้รสชาติที่สมดุล กลมกล่อม และคงคุณภาพได้อย่างสม่ำเสมอ
และจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ JOHNNIE WALKER Black Label เกิดขึ้นเมื่อแบรนด์สามารถบุกตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดอเมริกา และเอเชีย ด้วยเอกลักษณ์ด้านรสชาติที่มีความเข้มข้น แต่ไม่รุนแรงเกินไป มีกลิ่นหอมของวานิลลา ไม้โอ๊ค และผลไม้แห้ง ผสานกับรสควันบางเบาที่นุ่มลึก ทำให้ Black Label กลายเป็นวิสกี้ที่ดื่มง่าย แต่ยังคงความซับซ้อนไว้อย่างมีเสน่ห์ จนได้รับคำชมจากนักดื่ม และนักวิจารณ์ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น Black Label ยังได้รับรางวัลมากมาย เช่น รางวัลเหรียญทองจาก International Spirits Challenge และการได้รับการยอมรับจากสื่อชั้นนำในวงการเครื่องดื่มอีกนับไม่ถ้วน และสิ่งเหล่านี้ตอกย้ำถึงคุณภาพ และความสำเร็จของวิสกี้รุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี และเป็นเหตุผลที่ทำให้ชื่อของ JOHNNIE WALKER Black Label ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งความภูมิใจของแบรนด์ และวงการวิสกี้สก็อตช์
ด้วยรูปลักษณ์ขวดที่คลาสสิกแต่โดดเด่น พร้อมฉลากสีดำที่สะดุดตา และตัวอักษรสีทองที่หรูหรา ทำให้ Black Label ไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่ยังเป็นของขวัญระดับพรีเมียมที่สื่อถึงความสำเร็จ ความมีระดับ และความตั้งใจมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้รับ นี่คือเหตุผลว่าทำไม JOHNNIE WALKER Black Label จึงยังคงเป็นวิสกี้ในดวงใจของผู้คนทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับกระบวนการผลิต JOHNNIE WALKER Black Label นั้นไม่ใช่เพียงการผสมวิสกี้หลายตัวเข้าด้วยกัน แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และความใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม นุ่มลึก และเป็นที่จดจำ โดยกระบวนการผลิตของ JOHNNIE WALKER Black Label ในแต่ละขั้นตอนนั้นมีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
การคัดเลือกวัตถุดิบ สำหรับจุดเริ่มต้นของการผลิต JOHNNIE WALKER Black Label อยู่ที่การเลือกมอลต์ และเกรนคุณภาพเยี่ยมจากแหล่งต่างๆ ทั่วสกอตแลนด์ เช่น Speyside, Highland, Islay และ Lowland เป็นต้น โดยวิสกี้ที่จะนำมาเบลนด์ใน Black Label ต้องมีการบ่มอย่างน้อย 12 ปีทุกชนิด เพื่อให้ได้รสชาติที่มีความกลมกล่อม และซับซ้อน
การบด และหมัก สำหรับเมล็ดข้าวบาร์เลย์จะถูกบดละเอียด และผสมกับน้ำร้อนในถัง Mash Tun เพื่อสกัดน้ำตาลออกมา จากนั้นของเหลวที่ได้จะถูกเติมยีสต์ เพื่อเริ่มกระบวนการหมัก ซึ่งในขั้นตอนนี้จะเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ และสารประกอบต่างๆ ที่ให้กลิ่นหอม
การกลั่น หลังจากหมักแล้ว ของเหลวจะถูกนำไปกลั่นด้วยเครื่องกลั่นแบบ Pot Still หรือ Column Still ขึ้นอยู่กับชนิดของวิสกี้ และการกลั่นนี้จะช่วยเพิ่มความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ และแยกกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกไป ทำให้ได้วิสกี้ที่มีความบริสุทธิ์สูง
การบ่มในถังโอ๊ก สำหรับหัวใจสำคัญของวิสกี้คุณภาพดีอยู่ที่การบ่ม โดยวิสกี้จะถูกนำไปเก็บไว้ในถังไม้โอ๊กอเมริกัน หรือยุโรปอย่างน้อย 12 ปี เพื่อให้ถังโอ๊กปล่อยรสชาติอย่างวานิลลา คาราเมล และเครื่องเทศลงสู่วิสกี้ และยังช่วยให้สีเข้มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
การคัดเลือกวิสกี้ที่ผ่านการบ่ม เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผู้เชี่ยวชาญจะชิม และประเมินรสชาติของวิสกี้แต่ละถังอย่างละเอียด เพื่อเลือกเฉพาะถังที่มีรสชาติกลมกล่อม สมดุล และมีคาแรกเตอร์สอดคล้องกับโปรไฟล์ของ Black Label เท่านั้น
การเบลนด์ เมื่อทำการคัดวิสกี้แล้ว ก็จะมาทำการเบลนด์ และถือว่าเป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยความสามารถของ Master Blender ในการผสมวิสกี้จากถังต่างๆ ให้ได้รสชาติที่มั่นคง และตรงตามเอกลักษณ์ของ JOHNNIE WALKER Black Label เช่น กลิ่นผลไม้แห้ง ควันอ่อน และเครื่องเทศเบาๆ และด้วยความสมดุลนี้ทำให้ Black Label ดื่มง่าย และมีความนุ่มลึกในรสชาติ
การกรอง และบรรจุขวด หลังจากเบลนด์เสร็จเรียบร้อยแล้ว วิสกี้จะถูกกรองด้วยความเย็น เพื่อเพิ่มความใสบริสุทธิ์ จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนบรรจุขวดในขวดทรงสี่เหลี่ยมเอกลักษณ์ของแบรนด์ พร้อมติดฉลากสีดำที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความพรีเมียม
ดังนั้น ทุกขั้นตอนการผลิต JOHNNIE WALKER Black Label ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบจนถึงการบรรจุขวด ล้วนผ่านการควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อให้แน่ใจว่า JOHNNIE WALKER Black Label ยังคงคุณภาพระดับโลก และสื่อถึงความประณีตแบบฉบับของสก็อตวิสกี้ที่แท้จริง
สำหรับ JOHNNIE WALKER Black Label เป็นหนึ่งใน Blended Scotch Whisky ที่มีโครงสร้างรสชาติที่ซับซ้อนที่สุดในกลุ่มวิสกี้ระดับกลาง ทั้งในด้านรสชาติ รสสัมผัส กลิ่น และความนุ่มลึกในแต่ละจิบ ด้วยการผสมผสานวิสกี้จากถังบ่มกว่า 40 ชนิดที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 12 ปี จึงได้รสชาติที่หรูหราแบบสากล พร้อมดื่มได้ในหลายโอกาส ส่งผลให้เวลาดื่มนั้นนักดื่มจะสามารถสัมผัสได้ถึงรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
รสชาติ (Flavor) สำหรับรสชาติของ JOHNNIE WALKER Black Label นั้นจะสามารถสัมผัสได้ถึงความสมดุลระหว่างความหวาน นุ่ม และเข้มได้ตั้งแต่จิบแรก ที่เปิดมาด้วยความหอมหวานของรสหวานของน้ำตาลไหม้ วานิลลา และผลไม้สุก ตามมาด้วยความเข้มข้นของรสของเครื่องเทศเบาๆ ควันจาง ๆ และความหอมของโอ๊ก และปิดท้ายด้วยความแห้งนิดๆ ที่ทำให้มีความกลมกล่อมที่ลงตัว รสไม่จัดจ้านจนเกินไปแต่มีบุคลิกชัดเจน เหมาะทั้งสำหรับนักดื่มมือใหม่ และนักดื่มวิสกี้ตัวจริง
รสสัมผัส (Mouthfeel) สำหรับรสสัมผัสของ JOHNNIE WALKER Black Label นั้นจะมีความนุ่มลื่น และครีมมี่ ถึงจะมีระดับแอลกอฮอล์ 40% แต่ก็ไม่ฝาด และไม่บาดคอ อีกทั้งยังให้ความรู้สึกอบอุ่นเวลาลงคอ และค่อยๆ ปลดปล่อยกลิ่นที่ซับซ้อนในโพรงจมูก และเมื่อกลืนแล้วจะให้ปลายรสเนียนนุ่ม ยาวนาน ทิ้งท้ายด้วยกลิ่นควันอ่อนๆ และโอ๊กที่ละมุน มีความสะอาด ไม่ทิ้งรสขมติดปาก และชวนให้จิบต่อเรื่อยๆ แบบเพลิดเพลิน
กลิ่น (Aroma) สำหรับกลิ่นของ JOHNNIE WALKER Black Label นั้นจะมีกลิ่นแบบคลาสสิกของสก็อตวิสกี้ ที่เปิดมาด้วยกลิ่นของผลไม้แห้ง เช่น ลูกเกด แอปเปิ้ลอบ และเปลือกส้ม ตามด้วยกลิ่นหวานของวานิลลา คาราเมล และน้ำผึ้งจากถังโอ๊ก พร้อมกับแฝงกลิ่นควันจาง ๆ จากวิสกี้ภูมิภาค Islay ที่ช่วยเพิ่มมิติความลุ่มลึก และปิดท้ายด้วยกลิ่นเครื่องเทศเบาๆ อย่างอบเชย หรือจันทน์เทศ ที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นมากขึ้น
สำหรับ JOHNNIE WALKER Black Label เป็นวิสกี้ที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก ไม่เพียงเพราะรสชาติกลมกล่อม และซับซ้อน แต่ยังเพราะสามารถดื่มได้หลากหลายวิธี และการเลือกเทคนิคการดื่มที่เหมาะสมจะช่วยเปิดมิติของรสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นหอมที่ซ่อนอยู่ในวิสกี้ขวดนี้ได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งในแต่ละเทคนิคที่จะช่วยให้สัมผัสถึงเอกลักษณ์เฉพาะมีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
วิธีการเสิร์ฟ และดื่ม สำหรับวิธีการเสิร์ฟ และดื่มของ JOHNNIE WALKER Black Label นั้นมีให้เลือกหลากหลายแบบ ยกตัวอย่างเช่น
ดื่มเพียว (Neat) เหมาะสำหรับนักดื่มที่ต้องการลิ้มรสความเป็นเอกลักษณ์ของ JOHNNIE WALKER Black Label อย่างเต็มที่ ควรใช้แก้วทรงทิวลิป หรือ Glencairn Glass เพื่อเก็บกลิ่นไว้ให้ดมก่อนจิบ และกลิ่นจะเริ่มจากผลไม้แห้ง และวานิลลา แล้วตามด้วยควันอ่อนๆ เมื่อดื่มเพียว จะรู้สึกถึงรสชาติที่ค่อยๆ เผยออกมาอย่างซับซ้อนตั้งแต่แรกสัมผัสไปจนถึงตอนกลืน
ดื่มแบบ On the Rocks หรือการดื่มแบบใส่น้ำแข็ง ที่จะใส่น้ำแข็งเล็กน้อยเท่านั้น และวิธีนี้ช่วยลดความแรงของแอลกอฮอล์ และเปิดเผยรสชาติบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้ เช่น ความนวลของคาราเมล หรือความหวานของน้ำผึ้ง และน้ำแข็งที่ละลายจะค่อยๆ เจือจางวิสกี้ ทำให้สามารถจิบอย่างช้าๆ และเพลิดเพลินไปกับพัฒนาการของรสชาติในแต่ละช่วงเวลา
ดื่มแบบ Highball เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นดื่มวิสกี้ หรืออยากดื่มแบบสดชื่น โดยผสม JOHNNIE WALKER Black Label กับโซดาในอัตราส่วน 1:3 เติมน้ำแข็ง และมะนาวฝานบาง เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม และวิธีนี้จะดึงกลิ่นสดชื่นของผลไม้ และเปลือกส้มออกมาได้ชัดเจนมากขึ้น
ดื่มแบบผสมในค็อกเทลคลาสสิก สำหรับ JOHNNIE WALKER Black Label สามารถนำไปผสมในค็อกเทลได้หลากหลาย เช่น Old Fashioned, Rob Roy หรือ Whisky Sour ที่ต้องการวิสกี้ที่มีคาแรกเตอร์เข้ม และควันอ่อน และการผสมค็อกเทลเหล่านี้จะช่วยเสริมเสน่ห์ให้กับ Black Label มากขึ้นด้วย
วิธีการจับคู่อาหาร ควรทำการจับคู่ JOHNNIE WALKER Black Label กับอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ เช่น สเต็กวัว ปีกไก่รมควัน หรือเนื้อแกะ จะเสริมความเข้มของรสควันในวิสกี้ หรือชีสเนื้อแข็งอย่างพาร์มีซาน หรือเชดดาร์ รวมถึงของหวานต่างๆ เช่น ดาร์กช็อกโกแลต 70% ขนมรสกาแฟ หรือพุดดิ้งผลไม้แห้ง ก็สามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี
วิธีการเก็บรักษา ควรทำการเก็บ JOHNNIE WALKER Black Label ไว้ในที่ที่มีความเย็น และอุณหภูมิคงที่ หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง และอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงบ่อย เช่น การวางใกล้หน้าต่าง หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเก็บรักษาอยู่ที่ประมาณ 15–20 องศาเซลเซียส รวมถึงควรหลีกเลี่ยงความชื้น และอากาศที่ถ่ายเทไม่ดี เพราะความชื้นอาจทำลายฉลากขวด และกล่องบรรจุภัณฑ์ รวมถึงอาจส่งผลต่อฝาปิดในระยะยาว และควรเก็บในที่แห้ง และมีการระบายอากาศอย่างเหมาะสม เช่น ชั้นเก็บไวน์หรือในตู้เฉพาะสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และควรตั้งขวดในแนวตั้งเสมอ เพราะแอลกอฮอล์สามารถกัดกร่อนจุกปิดขวดได้หากสัมผัสโดยตรงเป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้สูญเสียความแน่นของฝา และเกิดการระเหยได้ และเมื่อเปิดขวดแล้ว ควรปิดให้แน่นที่สุด และหลีกเลี่ยงการเปิด-ปิดบ่อยครั้ง เพราะจะทำให้ออกซิเจนเข้าไปในขวดมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้รสชาติเปลี่ยนแปลงในระยะยาวได้
สำหรับนักดื่มที่กำลังอยากจะซื้อ JOHNNIE WALKER Black Label ก็สามารถแวะมาหาซื้อได้ที่ Wine Cellar BKK แหล่งนำเข้า และแหล่งจำหน่ายเครื่องดื่มนำเข้าจากต่างประเทศ ที่มีบริการแอดมินให้คำแนะนำสินค้าอย่างมืออาชีพ อยากได้ไวน์ที่มีรสชาติ รสสัมผัส และกลิ่นแบบไหน หรืออยากได้เครื่องดื่มประเภทอื่นๆ อยากได้ยี่ห้อไหนเป็นพิเศษ มีงบประมาณเท่าไหร่ ซื้อดื่มเอง หรือซื้อเป็นของขวัญ ก็สามารถแจ้งแอดมินได้ เพื่อให้แอดมินแนะนำเครื่องดื่มที่ตอบโจทย์กับความต้องการของนักดื่มมากที่สุด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อสินค้าได้เลยที่
Website : www.winecellarbkk.com หรือ คลิก ที่นี่
โดยที่ Wine Cellar BKK มีเครื่องดื่มให้นักดื่มได้เลือกสรรกันหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไวน์แดง ไวน์ขาว แชมเปญ สปาร์คกลิ้งไวน์ คอนญัก วิสกี้ หรือเครื่องดื่มนำเข้าจากต่างประเทศ ที่มีให้เลือกซื้อกันอย่างครบครัน การันตีสินค้าทุกขวดเป็นของแท้ 100% ผ่านการคัดสรรเครื่องดื่มทุกขวดด้วยความใส่ใจ เพื่อให้ได้เครื่องดื่มที่มีคุณภาพ และมาตรฐาน และการันตีว่าจำหน่ายในราคาดีที่สุดในตลาด เพื่อจำหน่ายเครื่องดื่มพรีเมียมในราคาสบายกระเป๋า และให้นักดื่มเข้าถึงเครื่องดื่มขวดโปรดได้ในราคาย่อมเยา มาพร้อมกับบริการจัดส่งสินค้าให้ถึงหน้าบ้าน ที่มีให้นักดื่มได้เลือกใช้ทั้งบริการจัดส่งสินค้าด่วนภายในกทม. ที่ใช้เวลาในการจัดส่งประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง และบริการจัดส่งสินค้าทั่วประเทศ ที่ใช้เวลาในการจัดส่งประมาณ 1-2 วัน สามารถสั่งซื้อเครื่องดื่มกับ Wine Cellar BKK ได้ง่ายๆ ทุกที่ ทุกเวลา แพ็คสินค้าทุกออเดอร์เป็นอย่างดี มีการรับประกันสินค้าระหว่างการจัดส่ง หากสินค้าได้รับความเสียหาย แตก หัก หรืออยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ที่เกิดจากการจัดส่ง ทางร้านยินดีเปลี่ยนเครื่องดื่มเป็นขวดใหม่ให้ทันที แบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อสร้างความประทับใจในการเลือกซื้อไวน์กับเราตลอดการบริการ
Thanks for subscribing!
This email has been registered!